SlideShare uma empresa Scribd logo
1 de 48
ทางข้ามเหว
แนวคิดสาหรับแก้วิกฤติไทย
ดร. ไสว บุญมา
ดร. ไสว บุญมา เป็นชาวอาเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก ได้รับการศึกษา
เบื้องต้นที่โรงเรียนวัดแหลมไม้ย้อยและโรงเรียนบ้านนา “นายกพิทยากร” อาเภอบ้านนา
การศึกษาวิชาครูที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรีและมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และ
การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ Claremont McKenna College และ Claremont
Graduate University หลังจากสอนหนังสือและทางานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและ
สังคมที่ธนาคารพัฒนาเอเซียและธนาคารโลกเป็นเวลา 25 ปี ได้ออกมาศึกษาวิชาต่าง ๆ
เพิ่มเติม ทางข้ามเหว เป็นหนังสือเล่มที่ 19 ซึ่ง ดร. ไสว เขียนเองหรือเขียนกับผู้ร่วมงาน
ในปัจจุบัน ดร. ไสว แบ่งเวลาระหว่างอยู่ในสหรัฐอเมริกากับเมืองไทย เขียนคอลัมน์ “บ้าน
เขา-เมืองเรา” ในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ “Outside the Box” ใน
หนังสือพิมพ์ The Bangkok Post ร่วมเขียนคอลัมน์ “คิดถึงเมืองไทย” ในหนังสือพิมพ์ เอ
เอสทีวีผู้จัดการ และคอลัมน์ “ระดมสมอง” ในหนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ และเป็น
นักเขียนประจานิตยสาร ครอบครัวพอเพียง ธุรกิจกับสังคม และหนังสือพิมพ์ ชาวกรุง
USA
หนังสือที่ ดร. ไสว เขียนเองและเขียนกับผู้ร่วมงาน
จดหมายจากบ้านนา
ฟังอย่างไรจะได้ยิน
จดหมาจากวอชิงตัน
เศรษฐกิจพอเพียง: ภูมิปัญญาชาติไทย
ไอเอ็มเอฟ ไอเอ็มเอฟ ไอเอ็มเอฟ
เสือ สิงห์ กระทิง แรด
สามแผ่นดิน
เล่าเรื่องเมืองน้ามัน
อเมริกาที่ยังใช้ม้าเทียมไถ
บ้านนอก เมืองนอก
ประชานิยม: หายนะจากอาร์เจนตินาถึงไทย ?
คิดนอกคอก ทานอกคัมภีร์
โต้คลื่นลูกที่ 4
เลียนแบบรุ่ง ลอกแบบล่ม
สู่จุดจบ !
กะลาภิวัตน์
ธาตุ 4 พิโรธ
มองเมืองไทย: จากสิบปีของการใช้หนี้แผ่นดิน
ทางข้ามเหว: แนวคิดสาหรับแก้วิกฤติไทย
สู่ความเป็นอยู่แบบยั่งยืน
(หากต้องการอ่านหนังสือที่ ดร. ไสว จัดพิมพ์เอง แต่ไม่สามารถหาได้ในร้าน
หนังสือหรือในห้องสมุด กรุณาติดต่อ ผศ. ทัศนีย์ กระต่ายอินทร์ โทรศัพท์ (036) 411-150
หรือ (036) 617-200)
คานา
เมื่อต้นปี 2543 ในหนังสือชื่อ เศรษฐกิจพอเพียง: ภูมิปัญญาชาติไทย ผมเสนอให้
รัฐบาลตั้งคณะกรรมการประกอบด้วยปราชญ์ของชาติขึ้นมาร่างแนวการพัฒนาสาหรับอนาคตของ
เมืองไทย ข้อเสนอนั้นเงียบหายไปเพราะผมไม่เห็นใครอ้างถึงแม้แต่ครั้งเดียว ผมเสนอซ้าเมื่อต้นปี
2549 ในหนังสือชื่อ โต้คลื่นลูกที่ 4 คราวนี้คุณสุทธิชัย เอี่ยมเจริญยิ่ง นักธุรกิจผู้มากด้วยจิต
วิญญาณของการเอื้ออาทรต่อสังคมไทย แสดงความสนใจและแนะนาให้ผมร่างแนวการพัฒนา
ออกมาโดยลาพัง ผมแย้งว่าผมไม่ใช่ปราชญ์จึงมิควรบังอาจ หรือมีความสามารถพอ ที่จะทาได้
และงานสาคัญขนาดนั้นต้องมาจากการช่วยกันคิด หลังจากทบทวนคาแนะนาของคุณสุทธิชัยอยู่
หลายเที่ยว ผมตัดสินใจเขียนข้อคิดออกมากว้าง ๆ ด้วยความหวังที่จะจุดประกายให้ผู้สนใจใน
อนาคตของเมืองไทยนาไปช่วยกันคิดต่อ โดยแยกเสนอเป็น 14 ตอนในคอลัมน์ “บ้านเข้า เมืองเรา”
ของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ทุกวันศุกร์ จากฉบับประจาวันที่ 31 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 30
มกราคม 2552 ผมนาเสนอเช่นนั้นเพราะต้องการได้รับข้อคิดเห็นจากผู้อ่านเป็นหลัก
หลังจากลงพิมพ์ได้หลายตอน แพทย์หญิงนภาพร ลิมป์ ปิยากร แสดงความประสงค์จะ
นามาทาเป็นเล่มเพราะเห็นว่าคนไทยที่ไม่มีโอกาสอ่านกรุงเทพธุรกิจน่าจะมีโอกาสนาข้อคิดไป
พิจารณาด้วย ผมจึงนาทั้งหมดมาปรับเปลี่ยนและเขียนเพิ่มเพื่อให้ครอบคลุมปัญหาของไทยใน
ปัจจุบันมากขึ้นพร้อมกับเสริมแหล่งข้อมูลและหนังสืออ้างอิงสาหรับผู้ที่มีความสนใจจะไปค้นคว้า
ต่อ ท่านผู้อ่านที่มีความเข้าใจในแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอย่างดีจะมองเห็นทันทีว่า
ข้อคิดของผมส่วนใหญ่วางอยู่ในกรอบของเศรษฐกิจพอเพียงโดยเน้นส่วนที่เป็นแนวนโยบายและ
เป้ าหมายในระดับชาติมากกว่าส่วนสาคัญยิ่งอีกส่วนหนึ่งซึ่งได้แก่การดาเนินชีวิตตามหลัก
เศรษฐกิจพอเพียงในระดับบุคคล เกี่ยวกับส่วนหลังนี้ผมได้เขียนไว้ในหลายโอกาสแล้ว ล่าสุดใน
หนังสือชื่อ มองเมืองไทย: จากสิบปีของการใช้หนี้แผ่นดิน
ขอขอบคุณคุณสุทธิชัยที่ให้คาแนะนา บรรณาธิการและผู้อ่านกรุงเทพธุรกิจที่กรุณาให้
หน้ากระดาษและข้อคิดเห็น และคุณหมอนภาพรที่ยอมสละทุนรอนและเวลาจัดพิมพ์ออกมาเป็น
เล่ม หวังว่าท่านผู้อ่านจะมีเวลานาข้อคิดไปพิจารณาต่อสมกับที่คุณหมอคาดหวัง
ด้วยความปรารถนาดี
ไสว บุญมา
5 กุมภาพันธ์ 2552
หากงานนี้มีผล เป็นกุศลอุทิศได้
ขอกราบอุทิศให้ ดอกเตอร์พร็อกเตอร์ธอมสัน
ทางข้ามเหว
แนวคิดสาหรับแก้วิกฤติไทย
สารบัญ
คาอุทิศ
คานา
1. สมมติฐานและกรอบของการคิด
2. เป้ าหมายของชีวิต
3. บทบาทของการศึกษา
4. พลังของระบบภาษี
5. การใช้งบประมาณและวินัยการคลัง
6. บทเรียนจากภาคการเงิน
7. การค้าขายภายนอกประเทศ
8. การสร้างและการกระจายผลผลิต
9. ทรัพยากรป่าและการรักษาที่ดิน
10. ทิศทางของภาคเกษตรกรรม
11. ทรัพย์ในดินสินในน้า
12. ทิศทางของภาคอุตสาหกรรมและบริการ
บทส่งท้าย
1
สมมติฐานและกรอบของการคิด
เมืองไทยกาลังเผชิญกับวิกฤติสองด้านซึ่งซ้อนกันอยู่คือ วิกฤติการเมืองและวิกฤติ
เศรษฐกิจ สาเหตุพื้นฐานของวิกฤติการเมืองได้แก้ความฉ้อฉลร้ายแรงซึ่งนาไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาล
หลายครั้งในช่วงปี 2549-2551 และการชุมนุมประท้วงของประชาชนกลุ่มใหญ่ซึ่งส่งผลให้เกิดการ
เสียชีวิตเมื่อตอนปลายปี 2551 สาเหตุพื้นฐานของวิกฤติเศรษฐกิจได้แก่การพัฒนาตามแนวคิด
กระแสหลักและผลกระทบจากเหตุการณ์ภายนอก การชุมนุมประท้วงขนาดใหญ่ในปี 2551 แสดง
ให้เห็นถึงความเข้มแข็งของการเมืองภาคประชาชนซึ่งทนดูความฉ้อฉลในสังคมไทยต่อไปไม่ได้อีก
แล้ว ฉะนั้น สมมุติฐานของการเสนอเรื่องนี้คือ ต่อไปเมืองไทยจะเริ่มมีการเมืองใหม่ซึ่งคนไทยส่วน
ใหญ่จะไม่ยอมให้บุคคลที่ฉ้อฉลเข้ามาบริหารบ้านเมือง เมื่อมีการเมืองใหม่ เมืองไทยควร
ปรับเปลี่ยนแนวพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กันไปด้วยเพื่อสร้างฐานสาหรับการพัฒนาแบบยั่งยืน
วิกฤติเศรษฐกิจโลกซึ่งเริ่มเมื่อกลางปี 2550 บ่งชี้อย่างแจ้งชัดว่า การพัฒนาเศรษฐกิจแนว
อเมริกันซึ่งใช้การบริโภค หรือการใช้ทรัพยากรแบบเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นหัวจักรขับเคลื่อน
เป็นการพัฒนาที่ไม่มีทางยั่งยืน การบริโภคแบบนั้นนาไปสู่การใช้กลวิธีหลากหลายเพื่อให้ได้มาซึ่ง
ทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดกฎหมาย การทาลายจรรยาบรรณ หรือการรุกรานผู้อื่น โลก
ต้องการเศรษฐกิจแนวใหม่ซึ่งไม่ใช้การบริโภคแบบเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นตัวขับเคลื่อน ใน
ปัจจุบันนี้ชาวอเมริกันราว 25% มองเห็นความจาเป็นที่จะต้องมีเศรษฐกิจแนวใหม่และได้เริ่ม
จากัดการบริโภคของตัวเองแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็น ส่งผลให้การบริโภคเกินความจาเป็น
เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง1
ฉะนั้น เศรษฐกิจแนวใหม่จะต้องไม่รอให้ชาวอเมริกันเป็นผู้นา ผู้อื่นจะต้อง
ทาการบุกเบิกเอง คนไทยควรอยู่ในกลุ่มผู้บุกเบิกด้วย
ผลการศึกษายืนยันซ้าแล้วซ้าเล่าว่า คนเรามีความสุขสูงสุดเมื่อมีปัจจัยเพียงพอต่อความ
ต้องการเบื้องต้นของร่างกายพร้อมกับมีปัจจัยอื่นที่มีความสาคัญต่อด้านจิตใจควบคู่กันไปด้วย
เช่น ความสัมพันธ์อันดีกับผู้ที่อยู่รอบข้าง และกิจกรรมที่ทาให้ร่างกายเคลื่อนไหวและจิตใจเบิก
บานอยู่เป็นนิจ (มีรายละเอียดในบทที่ 2) นั่นหมายความว่า การพัฒนาเศรษฐกิจต้องมุ่งไปที่การ
ให้สมาชิกทุกคนในสังคมเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายซึ่งได้แก่
ปัจจัยสี่ พร้อมกับสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมด้านสังคมที่นาไปสู่ความรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงทางจิตใจ
1
รายละเอียดเกี่ยวกับความคิดเห็นของชาวอเมริกันมีอยู่ในหนังสือชื่อ The Chaos Point: The World at the
Crossroads ของ Ervin Laszlo ซึ่งมีบทคัดย่อเป็นภาษาไทยอยู่ในหนังสือชื่อ กะลาภิวัตน์ (สานักพิมพ์โอ้พระ
เจ้า, 2550)
โดยธรรมชาติคนเราต้องการอิสรภาพและเสรีภาพ นอกจากนั้นเราเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์
เดียวที่มีการแลกเปลี่ยนสิ่งของ บริการและแรงงานกันด้วยความสมัครใจ ลักษณะตามธรรมชาติ
เหล่านี้คือปัจจัยที่ทาให้เศรษฐกิจระบบตลาดเสรีมีความยั่งยืนมาเป็นเวลานาน และจะยั่งยืนต่อไป
หากถูกปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ในปัจจุบันนี้สภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนไปอย่างมี
นัยสาคัญ นั่นคือ จานวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกิน 6.7 พันล้านคนแล้วในขณะที่
ทรัพยากรธรรมชาติลดลงทุกวัน การแย่งชิงกันจึงเกิดขึ้นจนนาไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจและการเมืองซึ่ง
รวมทั้งสงครามระหว่างประเทศเพราะทุกคนพยายามบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด2
การ
แก้ปัญหาจาเป็นต้องมาจากการจากัดทั้งจานวนประชากรและการบริโภคที่เกินความจาเป็นซึ่งอาจ
เกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของผู้ใช้ทรัพยากรเอง หรือด้วยแรงจูงใจในรูปต่าง ๆ ที่สังคมจะนามาใช้
ในกรอบของระบบตลาดเสรี เช่น การเก็บภาษี การกระจายงบประมาณและการใช้กฎเกณฑ์อื่น ๆ
ตามความเหมาะสม
ระบบตลาดเสรีมีหลักเบื้องต้นอยู่ที่ภาคเอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยสาหรับใช้ในการผลิต
สินค้าและบริการ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน แรงงาน ร้านค้า หรือเงินทุน และเอกชนมีเสรีภาพในการทา
กิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น จะผลิตอะไร อย่างไร เพื่อใคร จะบริโภคอะไร เท่าไร และจะค้าขายกับ
ใคร อย่างไร การทากิจกรรมเหล่านี้มีการแข่งขันและการร่วมมือกันเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
เนื่องจากสังคมมีจุดมุ่งหมายให้สมาชิกอยู่ร่วมกันโดยสันติสุข จึงมีการสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาว่า
อะไรจะทาให้บรรลุจุดมุ่งหมายนั้นรวมทั้งกฎเกณฑ์ด้านเศรษฐกิจด้วย ในการสร้างและบังคับใช้
กฎเกณฑ์เหล่านั้น โดยทั่วไปสมาชิกในสังคมคัดเลือกพนักงานรัฐขึ้นมาเป็นผู้ดาเนินงาน
ประสบการณ์อันยาวนานบ่งว่า รัฐต้องเข้าไปมีบทบาทในตลาดบ้างในบางกรณีเพื่อช่วย
ให้ระบบตลาดเสรีทางานอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุจุดมุ่งหมาย เช่น รัฐอาจเข้าไปเป็นเจ้าของ
กิจการบางอย่าง โดยเฉพาะกิจการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและมีลักษณะของการผูกขาด
โดยธรรมชาติในตัวของมันเอง ในปัจจุบันการสร้างปัจจัยพื้นฐานจาพวกโรงไฟฟ้ า ระบบประปา
ท่าเรือ สนามบินและระบบขนส่งมักตกเป็นหน้าที่ของรัฐ ในขณะเดียวกันรัฐบาลอาจส่งเสริม
กิจการบางอย่างเป็นพิเศษเพื่อให้เกิดสิ่งที่สังคมปรารถนาพร้อมกับห้ามเอกชนทากิจการบางอย่าง
ซึ่งอาจนาไปสู่การทาลายสภาพแวดล้อมและคุณธรรมของสังคม
ฉะนั้น ระบบตลาดเสรีที่เหมาะสมจึงเป็นแบบผสมที่มีรัฐเข้าไปมีบทบาทในตลาดตาม
ความจาเป็นซึ่งเป็นระบบที่สังคมโลกใช้มาเป็นเวลานาน ในบางสังคมบทบาทของรัฐถูกนาไปใช้
เพื่อเอื้อประโยชน์ให้พนักงานรัฐเองและพวกพ้อง ยังผลให้ระบบตลาดเสรีมีความไม่เป็นธรรมสูงจน
2
หนังสือที่สาธยายผลกระทบของจานวนประชากรและการบริโภคของสังคมในอดีตไว้อย่างละเอียดได้แก่ One
with Nineveh: Politics, Consumption, and the Human Future ของ Paul Ehrlich และ Anne Ehrlich
(Island Press, 2005) ซึ่งมีบทคัดย่อเป็นภาษาไทยอยู่ในหนังสือชื่อ ธาตุ 4 พิโรธ (สานักพิมพ์มติชน, 2551)
การพัฒนาต้องล้มลุกคลุกคลาน สาหรับเมืองไทยในอนาคต เนื่องจากการเมืองใหม่จะไม่ยอมให้ผู้
ที่มีความฉ้อฉลเข้ามาบริหารประเทศอีก บทบาทของข้าราชการและพนักงานของรัฐย่อมเปลี่ยน
ไปสู่การเป็นผู้รักษากฎเกณฑ์ของสังคมและตลาดเสรีอย่างเคร่งครัดโดยปราศจากผลประโยชน์ทับ
ซ้อน
จากมุมมองของปัจจัยสี่ เมืองไทยมีศักยภาพในการผลิตอาหาร เสื้อผ้าและที่อยู่อาศัยได้
อย่างเพียงพอต่อความต้องการ เครื่องมือทางการแพทย์ชนิดก้าวหน้าและยารักษาโรคบางอย่าง
เท่านั้นที่เราไม่สามารถผลิตได้อย่างเพียงพอ นอกจากนั้นเราขาดปัจจัยหลายอย่างสาหรับผลิต
สินค้าและบริการยุคใหม่ เช่น เครื่องจักรและน้ามันเชื้อเพลิง นั่นหมายความว่า เศรษฐกิจแนวใหม่
ต้องมีการค้าขายกับต่างประเทศเป็นองค์ประกอบสาคัญด้วย
โดยทั่วไปเศรษฐกิจแนวใหม่จึงไม่แตกต่างมากนักกับระบบตลาดเสรีซึ่งเป็นที่รู้จักกันใน
ปัจจุบันนี้แล้ว นั่นคือ เป็นตลาดเสรีที่มีส่วนประกอบของระบบสังคมนิยมผสมอยู่บ้างโดย
ภาคเอกชนยังเป็นหัวจักรใหญ่ในการขับเคลื่อนผ่านการมีเสรีภาพในการผลิตและการซื้อขายใน
ระบบตลาดในขณะที่รัฐเข้าไปมีบทบาทในตลาดตามความจาเป็น การซื้อขายอาจเกิดขึ้นทั้งใน
และนอกประเทศ ความแตกต่างระหว่างเศรษฐกิจแนวเก่ากับเศรษฐกิจแนวใหม่ได้แก่ เศรษฐกิจ
แนวใหม่ไม่มุ่งเน้นการใช้การบริโภคแบบเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจ
ขยายตัว หากมุ่งเน้นการเข้าถึงปัจจัยเบื้องต้นอย่างเพียงพอต่อร่างกายพร้อมกับสนับสนุนให้เกิด
ความรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงทางจิตใจของสมาชิกทุกคนในสังคม หัวใจของเศรษฐกิจแนวใหม่ ซึ่ง
อาจเรียกว่าเศรษฐกิจหลังยุคบริโภคนิยม จึงอยู่ที่การจากัดการบริโภคเกินความจาเป็น การจากัด
นั้นอาจเกิดขึ้นโดยความสมัครใจของผู้ใช้ทรัพยากรเอง หรือจากแรงจูงใจซึ่งนโยบายของรัฐกระตุ้น
ให้เกิดก็ได้
2
เป้ าหมายของชีวิต
บทที่ 1 พูดถึงหัวใจของเศรษฐกิจแนวใหม่ว่าได้แก่การจากัดการบริโภคเกินความจาเป็น
บทนี้จะพูดถึงความสุขกายสบายใจอันเป็นเป้ าหมายหลักของชีวิต
เท่าที่ผ่านมา การพัฒนาเศรษฐกิจวางอยู่ฐานของสมมุติฐานที่ว่า ความสุขกายสบายใจ
เกิดจากการได้บริโภคสินค้าและบริการตามความต้องการของร่างกาย การพัฒนาเศรษฐกิจจึงมุ่ง
ขยายการผลิตสิ่งเหล่านั้นในอัตราสูงสุดอย่างต่อเนื่อง หลังจากเวลาผ่านไปและผู้คนส่วนใหญ่
โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาจนก้าวหน้ามากเข้าถึงสินค้าและบริการตามที่ร่างกายต้องการ
ครบถ้วนแล้ว พวกเขากลับไม่มีความสุขกายสบายใจตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ในตอนต้น ในช่วง
หลายทศวรรษมานี้จึงมีการวิจัยเพื่อค้นหาสาเหตุ ยังผลให้เกิดหนังสือเกี่ยวกับการแยกทางกันเดิน
ระหว่างการมีเงินกับการมีความสุขหลังคนเรามีทุกอย่างตามความต้องการของร่างกายแล้วอย่าง
น้อย 3 เล่มคือ The Progress Paradox: How Life Gets Better While We People Feel Worse
ของ Gregg Easterbrook พิมพ์เมื่อปี 2546 The Paradox of Choice: Why More Is Less ของ
Barry Schwartz พิมพ์เมื่อปี 2547 และ Happiness: Lessons from a New Science ของ
Richard Layard พิมพ์เมื่อปี 2548 และได้รับการแปลเป็นไทยแล้ว3
ล่าสุดนักวิจัยในอังกฤษกลุ่มหนึ่งได้พยายามค้นคว้าหาสาเหตุที่ลึกลงไปอีกพร้อมกับหา
หนทางสาหรับสร้างนโยบายด้านความสุขกายสบายใจจนได้ข้อสรุปพิมพ์ออกมาเมื่อปลายเดือน
ตุลาคม 2551 โดยมูลนิธิเศรษฐกิจใหม่ (New Economics Foundation) ข้อสรุปนั้นน่าจะเป็นฐาน
ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแนวใหม่ได้เป็นอย่างดี นั่นคือ หลังจากคนเรามีทุกอย่างตามที่ร่างกาย
ต้องการเพื่อสนองความจาเป็นเบื้องแล้ว ปัจจัยที่ทาให้เกิดความสุขกายสบายใจอาจแยกได้เป็น 7
ด้านซึ่งแต่ละคนมีบทบาทสาคัญในการทาให้เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ในขณะเดียวกันองค์กรเอกชนและ
รัฐก็มีบทบาทสาคัญในการสนับสนุนให้เกิดขึ้นด้วย
ด้านแรกได้แก่การมีสัมพันธ์อันดีกับคนรอบข้าง เริ่มจากในครอบครัวแล้วขยายออกไปถึง
หมู่ญาติ เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงานและเพื่อนทั่วไปในชุมชน ความสัมพันธ์อันดีเป็นฐานของการมี
ชีวิตอันอบอุ่นและมั่นคงสาหรับคนทุกรุ่นทุกวัยพร้อมกับเป็นเกราะกาบังสาคัญที่จะป้ องกันมิให้
เกิดปัญหาทางจิต เช่น ความหงอยเหงา ซึมเศร้าและว้าเหว่
3
เรื่อง The Progress Paradox และเรื่อง Happiness มีบทคัดย่อเป็นภาษาไทยอยู่ในหนังสือชื่อ กะลาภิวัตน์
(สานักพิมพ์โอ้พระเจ้า, 2550) ส่วนเรื่อง Paradox of Choice มีคาวิพากษ์อยู่ในบทที่ 42 ของหนังสือชื่อ
เลียนแบบรุ่ง ลอกแบบล่ม (สานักพิมพ์โอ้พระเจ้า, 2548)
ด้านที่สองได้แก่การมีความเคลื่อนไหวอยู่เป็นนิจ จากการออกกาลังกายอย่างเข้มข้น
จาพวกเล่นกีฬา วิ่ง ขี่จักรยานและว่ายน้า ไปจนถึงการเคลื่อนไหวง่าย ๆ จาพวก เดิน เต้นราและ
ทาสวนครัว การเคลื่อนไหวมีความสาคัญทั้งในด้านการออกกาลังกายและในด้านลดความ
กระสับกระส่ายของคนทุกรุ่น นอกจากนั้นการศึกษายังพบว่าการออกกาลังกายอยู่เป็นนิจช่วย
เสริมสร้างพลังทางสมองของเด็กและป้ องกันการถดถอยทางสมองของผู้สูงวัยอีกด้วย
ด้านที่สามได้แก่การมีความช่างสังเกตซึ่งรวมทั้งการมองเห็นความเป็นไปภายนอก เช่น
การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล การแต่งกายของฝูงชนตามศูนย์การค้า สีหน้าของผู้ที่อยู่รอบข้าง และ
การตระหนักถึงความรู้สึกภายในจิตใจของตนเอง การศึกษาพบว่าการฝึกให้มีความช่างสังเกต
ได้ผลดีในด้านการสร้างความสุขกายสบายใจทั้งในผู้ใหญ่และในระดับเด็กนักเรียน การศึกษานี้
อ้างถึงผลของการปฏิบัติจาพวกวิปัสสนาของสังคมในโลกตะวันออกที่มุ่งฝึกให้ผู้ปฏิบัติมี
สติสัมปชัญญะซึ่งเป็นปัจจัยของการทาให้เกิดความสุขด้วย ยิ่งกว่านั้นการมีสติสัมปชัญญะยังเป็น
ปัจจัยที่ทาให้บุคคลเลือกกระทาในสิ่งที่ตรงกับฐานการดาเนินชีวิตของตนเองมากขึ้น การเลือกทา
ได้เช่นนั้นเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความสุขได้อีกส่วนหนึ่ง
ด้านที่สี่ได้แก่การเรียนรู้อยู่เป็นนิจ ในวัยเด็ก การเรียนรู้มีความสาคัญต่อการพัฒนาด้าน
มันสมองและด้านสังคม ในวัยผู้ใหญ่การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ก่อให้เกิดความเชื่อมั่น การสร้าง
ความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นและการทาให้มีความเคลื่อนไหวอยู่เป็นนิจ การเรียนรู้ในวัยผู้ใหญ่อาจ
ทาได้หลากหลายแบบ เช่น การรื้อฟื้นสิ่งที่เคยมีความสนใจครั้งในอดีต การลงทะเบียนเรียนวิชา
ใหม่ ๆ ทั้งในสถานศึกษาและผ่านทางอินเทอร์เน็ต การฝึกเล่นเครื่องดนตรีที่ไม่เคยเล่นมาก่อน การ
ทาตุ๊กตาและการตัดเย็บเสื้อผ้าใส่เอง
ด้านที่ห้าได้แก่การให้ซึ่งมีขอบเขตกว้างมาก จากการส่งยิ้มให้คนอยู่ใกล้ ๆ ไปจนถึงการ
กล่าวคาขอบคุณ การให้ทาน การแบ่งปัน การช่วยเหลือผู้อยู่รอบข้าง การสละเวลาออกไป
อาสาสมัครช่วยงานในชุมชนและการทดแทนคุณแผ่นดิน กิจกรรมเหล่านี้ทาให้ผู้ทารู้สึกว่าตนเอง
มีค่าและชีวิตมีความหมายซึ่งเป็นปัจจัยที่ทาให้เกิดความสุขและมีอายุยืนยาวขึ้น
ด้านที่หกได้แก่อาหารซึ่งต้องมีทั้งความพอประมาณและความสมดุล มิใช่การรับประทาน
ในปริมาณมากแต่ขาดความสมดุลซึ่งเป็นปัจจัยที่นาไปสู่การขาดธาตุอาหารและการเกิดโรคต่าง ๆ
จากการมีน้าหนักตัวเกินพอดี
ด้านที่เจ็ดได้แก่การอยู่ใกล้กับธรรมชาติ การวิจัยพบว่าผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติรอบ
ด้านมีความสุขกายสบายใจมากกว่าผู้ที่อยู่ไกลธรรมชาติ
ปัจจัยเหล่านี้น่าจะชี้ให้เห็นความสาคัญของการศึกษาทั้งในและนอกสถาบันซึ่งจะพูดถึง
ในบทต่อไป ตอนนี้ขอเกริ่นเพียงว่าสาหรับการศึกษาในสถาบัน นอกจากเนื้อหาตามหลักสูตรแล้ว
ปัจจัยต่าง ๆ ที่เพิ่งอ้างถึงนี้ยังชี้ให้เห็นความสาคัญของการมีพื้นที่สีเขียวและสนามกีฬาในบริเวณ
สถาบันการศึกษาอีกด้วย สาหรับการศึกษานอกสถาบัน ความสาคัญของการมีศูนย์การศึกษา
และข่าวสารข้อมูลของชุมชน การฝึกวิปัสสนาเพื่อสร้างสติสัมปชัญญะและการมีพื้นที่สีเขียวย่อม
เป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัด ในกระบวนการนี้วัดจะมีบทบาทสูงมากหากผู้นาฝ่ายศาสนามีความ
ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะขับเคลื่อนให้เกิดขึ้น
3
บทบาทของการศึกษา
บทที่ 1 พูดถึงหัวใจของเศรษฐกิจแนวใหม่ว่าได้แก่การจากัดการบริโภคเกินความจาเป็น
และการจากัดอาจเกิดจากความสมัครใจของผู้ใช้ทรัพยากรเอง หรือ จากแรงจูงใจที่นโยบายของรัฐ
กระตุ้นให้เกิดก็ได้ บทนี้จะพูดถึงด้านความสมัครใจของผู้ใช้ทรัพยากรเอง
ข้อเสนอต่อไปนี้วางอยู่บนสัจพจน์ที่ว่า ผู้บริโภคต้องมีโอกาสสัมผัสกับองค์ความรู้
หลากหลายที่จะสร้างความมั่นใจในความถูกต้องของพฤติกรรมด้านการบริโภคของเขา เช่น เขา
ต้องรู้ว่า ร่างกายต้องการอาหารชนิดใดบ้างและอาหารแต่ละอย่างมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างไร
พร้อมกันนั้นเขาควรรู้ด้วยว่า การเลือกรับประทานอาหารต่างชนิดที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
ใกล้เคียงกันมีผลกระทบต่อโลกรอบด้านต่างกันมากหากชนิดหนึ่งนาเข้าจากประเทศห่างไกลใน
ขณะที่อีกชนิดหนึ่งผลิตได้ในท้องถิ่นของเขาเอง ทั้งนี้เพราะการใช้พลังงานในการขนส่งอาหารสอง
อย่างนั้นแตกต่างกันมากและการใช้พลังงานเป็นปัจจัยที่ทาให้เกิดภาวะโลกร้อน ยิ่งกว่านั้นเขา
ควรเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโทษของการบริโภคเกินพอดีและการบริโภคสิ่งที่ขาดคุณค่าทาง
โภชนาการด้วย เช่น โรคต่าง ๆ ซึ่งแฝงมากับอาหารและความอ้วน
ตัวอย่างที่อ้างถึงเหล่านี้บ่งชี้ถึงความสาคัญของการศึกษาซึ่งหมายความว่า ระบบ
การศึกษาและหลักสูตรจะต้องได้รับการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจหลังยุคบริโภคนิยม
ด้วย การปรับเปลี่ยนอาจเริ่มจากข้อคิดดังต่อไปนี้
ในด้านการศึกษาในสถาบัน ปัญหาพื้นฐานในขณะนี้อยู่ที่ผู้เรียนจบระดับต่าง ๆ ในอัตรา
สูงขาดความสามารถตามเป้ าหมายของการศึกษาในระดับนั้น ๆ เช่น ผู้เรียนจบชั้นประถม 6 ไม่
สามารถอ่านภาษาไทยได้อย่างแตกฉาน หรือผู้เรียนจบปริญญาตรีขาดทั้งทักษะทางวิชาการที่จะ
นาไปประกอบอาชีพ และทางการใช้เครื่องมือและกลวิธีที่จะแสวงหาความรู้ต่อไปด้วยตัวเอง การ
มีปริญญาจึงกลายเป็นการสนองค่านิยมและเป็นส่วนหนึ่งของการบริโภคที่ขับเคลื่อนให้ธุรกิจ
การศึกษาขยายตัวเกินความจาเป็น การแก้ปัญหาน่าจะเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว นั่นคือ ต้องมีการ
วัดความสาฤทธิ์ผลกันอย่างจริงจังพร้อมกับมุ่งเน้นความเป็นเลิศมากกว่าเท่าที่เป็นอยู่ซึ่ง
ผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษารู้ว่าจะทาอย่างไร
ในปัจจุบันนี้สถานศึกษาอ้างถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกันอย่างกว้างขวาง การ
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเข้าสู่แนวใหม่จะทาได้ไม่ยากหากครูบาอาจารย์เข้าใจและน้อมนาหลัก
เศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติในชีวิตประจาวันของตนอยู่แล้ว ทั้งนี้เพราะการเห็นต้นแบบอยู่ทุกวัน
เป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสูงยิ่ง แต่ประเด็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงในขณะนี้มีความคล้าย
กับการรับศีลห้าเป็นภาษาบาลี นั่นคือ ผู้รับมักท่องได้ หรือไม่ก็พูดไปตามพระแบบนกแก้ว
นกขุนทองโดยปราศจากความเข้าใจอย่างถูกต้องและไม่นาไปปฏิบัติในชีวิตประจาวัน ที่เป็น
เช่นนั้นส่วนหนึ่งคงเพราะการนาเสนอเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมักพูดถึงองค์ประกอบของแนวคิดโดย
ไม่ได้กล่าวถึงฐานทางวิทยาศาสตร์และการปฏิบัติจนได้ผลในระดับชุมชนมาแล้ว ฐานทาง
วิทยาศาสตร์ที่ถูกอ้างถึงมักจากัดอยู่ที่การทดลองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับ
เกษตรกรรมตามทฤษฎีใหม่ซึ่งได้แก่การทาไร่ ทาสวนและทานาผสมผสานกับการเลี้ยงปลาและ
เลี้ยงสัตว์ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น ส่วนการวิจัยเรื่องความสุขและผลกระทบที่การบริโภค
เกินพอดีมีต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นฐานสาคัญยิ่งของเศรษฐกิจพอเพียงยังไม่มีการ
กล่าวถึง นอกจากนั้นยังไม่มีการกล่าวถึงชุมชนที่ดาเนินชีวิตตามแนวคิดคล้ายกับหลักเศรษฐกิจ
พอเพียงมาเป็นเวลากว่า 300 ปีแล้วอีกด้วย
ด้วยเหตุเหล่านี้การขับเคลื่อนให้เกิดเศรษฐกิจแนวใหม่ในสถานศึกษาต้องเริ่มด้วยการ
อบรมครูบาอาจารย์ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงพร้อมกับฐานทาง
วิทยาศาสตร์และการปฏิบัติซึ่งได้ผลในระดับชุมชนมาแล้ว ในปัจจุบันนี้มีการนาผลการวิจัย
เกี่ยวกับความสุข การบริโภคและการใช้ทรัพยากรมาพิมพ์ไว้ในหนังสือหลายต่อหลายเล่มดังที่
กล่าวถึงในบทที่ 2 พร้อมทั้งเรื่อง An Inconvenient Truth ของอดีตรองประธานาธิบดีอเมริกัน Al
Gore ซึ่งมีบทคัดย่อเป็นภาษาไทยอยู่ในหนังสือชื่อ กะลาภิวัตน์ และอีกหลายเล่มซึ่งมีบทคัดย่อ
อยู่ในเรื่อง ธาตุ 4 พิโรธ สาหรับการดาเนินชีวิตตามแนวคิดคล้ายหลักเศรษฐกิจพอเพียงมีอยู่ใน
หนังสือหลายเล่มเช่นกัน รวมทั้งหนังสือภาษาไทยที่เล่าเรื่องราวของชาว “อามิช” ชื่อ อเมริกาที่ยัง
ใช้ม้าเทียมไถ ด้วย4
ชาว “อามิช” ดาเนินชีวิตแบบเรียบง่ายโดยไม่ใช้เครื่องจักรกลสมัยใหม่และ
ไม่ใช้แม้กระทั่งไฟฟ้ า เนื่องจากองค์กรของรัฐและเอกชนมีศักยภาพสูงพอที่จะทาหลักสูตรและการ
อบรมอยู่แล้ว ฉะนั้น การรวมเรื่องเศรษฐกิจแนวใหม่เข้าไปจึงทาได้ทันทีเมื่อมีสัญญาณจาก
ผู้บริหารประเทศ
เป็นที่ทราบกันดีว่า การเรียนรู้ในกรอบของสถาบันแม้จะมีความสาคัญยิ่ง แต่ก็ยังไม่
สาคัญเท่าการเรียนรู้จากนอกสถาบัน ทั้งนี้เพราะการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและในอายุขัยกว่า
70 ปีของคนเรานั้น เราใช้เวลาอยู่นอกสถาบันการศึกษามากกว่าในสถาบันหลายเท่า ในด้าน
การศึกษานอกสถาบัน อุปสรรคใหญ่อยู่ที่คนไทยโดยทั่วไปไม่นิยมอ่านหนังสือและไม่เป็นผู้ใฝ่รู้อยู่
4
ผู้มีความแตกฉานในภาษาอังกฤษและสนใจเกี่ยวกับชาว “อามิช” อาจไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งอ่านสนุกมาก
เขียนโดย Eric Brende นักศึกษาปริญญาโทของสถาบันเทคโนโลยีแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์หลังจากได้ไปใช้ชีวิตอยู่
ในหมู่บ้านชาว “อามิช” เป็นเวลา 18 เดือนชื่อ Better Off: Flipping the Switch on Technology (Harper
Perennial, 2004) หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจได้นาบทคัดย่อเป็นภาษาไทยมาตีพิมพ์ไว้ในคอลัมน์ “ผ่า
มันสมองของปราชญ์” ระหว่างวันที่ 11-21 กุมภาพันธ์ 2551 หากไม่สามารถค้นหาหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวได้
แต่ยังสนใจอ่าน อาจส่งอีเมล์ไปขอต้นฉบับจาก ดร. ไสว บุญมา ที่ sboonma@msn.com
ตลอดเวลา อย่างไรก็ดีในปัจจุบันนี้แนวคิดเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้รับการยอมรับอย่าง
กว้างขวาง มีองค์กรเอกชนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมการศึกษาทั้งในและนอกสถาบัน และ
รัฐบาลก็สนับสนุนองค์กรเหล่านั้นด้วยการยกเว้นภาษีให้ เราจึงมีองค์กรต่าง ๆ อยู่ในสังคมอย่าง
ทั่วถึง ลาดับต่อไปจึงเป็นการปรับใช้องค์กรเหล่านั้นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยมุ่งไปที่การรวม
องค์ความรู้ในกรอบของเศรษฐกิจแนวใหม่เข้าไปด้วย
เรามีสานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กระจัด
กระจายอยู่ทั่วประเทศ ประเด็นจึงอยู่ที่การขับเคลื่อนให้องค์กรนี้มีพลวัตสูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน
ยิ่งกว่านั้นเรามีสถาบันทางศาสนาซึ่งเคยเป็นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนมาแต่เก่าก่อน โดยเฉพาะ
วัดพุทธศาสนาที่มีอยู่เกินกว่า 30,000 แห่ง พุทธศาสนาสอนเรื่องหลักของการเดินสายกลางอยู่
แล้ว ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าในการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจแนวใหม่ จะทาอย่างไรวัดจึงจะกลับมามี
บทบาทสูงอีกครั้ง ผู้นาทางศาสนาย่อมตระหนักดีแล้วว่า ศาสดาอุบัติขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาของโลก
เมื่อการบริโภคเกินความจาเป็นคือต้นตอของปัญหา องค์กรของผู้เดินตามรอยศาสดาควรเป็นผู้นา
ในการกาจัดปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม มิใช่หลงติดอยู่แค่พิธีกรรม หรือวิ่งตามกระแสโลกเสียเอง
ในทานองเดียวกันกับการอบรมครูบาอาจารย์ของสถาบันการศึกษาให้เข้าใจในเศรษฐกิจ
แนวใหม่เพื่อนาไปสู่การขับเคลื่อนให้เกิดขึ้น ควรมีโครงการด้านการศึกษาของพระเพื่อจะปูฐานให้
ท่านมีบทบาทเพิ่มขึ้นด้วย พระในที่นี้เป็นผู้ที่บวชเป็นเวลานานซึ่งควรจะแตกฉานทั้งในด้าน
หลักธรรมและในด้านวิวัฒนาการของโลก ทั้งนี้เพราะท่านจะเป็นผู้นาในทางธรรมได้ยากหากท่าน
ไม่เข้าใจในวิวัฒนาการของทางโลกด้วย ในปัจจุบันนี้มีบางวัดพยายามส่งเสริมให้พระศึกษาวิชา
ของทางโลกอย่างจริงจัง แต่ก็ยังเป็นแบบต่างคนต่างทาตามแนวคิดของผู้ขับเคลื่อน ในการพัฒนา
ประเทศตามเศรษฐกิจแนวใหม่ พระที่บวชเป็นเวลานานควรได้รับการศึกษาทั้งทางธรรมและทาง
โลกอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะพระที่จะรับตาแหน่งต่าง ๆ ทางศาสนาเนื่องจากท่านจะต้องทา
หน้าที่ผู้นาซึ่งควรมีความสามารถในการอธิบายหลักธรรมในบริบทของวิวัฒนาการทางโลกรวมทั้ง
ฐานความคิดของเศรษฐกิจแนวใหม่ได้เป็นอย่างดี ผู้นาทางศาสนาและผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษา
คงใช้เวลาไม่นานในการที่จะร่วมกันสร้างระบบการศึกษาของพระดังกล่าวเนื่องจากทั้งสถานที่
องค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญและสื่อสาหรับการเรียนรู้มีอยู่โดยทั่วไปแล้ว
ดังที่กล่าวถึงในบทที่ 2 ปัจจัยที่ทาให้บุคคลมีความสุขหลังจากมีปัจจัยเบื้องต้นเพียงพอต่อ
ความจาเป็นของร่างกายได้แก่กิจกรรมที่ทาให้ร่างกายเคลื่อนไหวและจิตใจเบิกบานอยู่เป็นนิจ
การเคลื่อนไหวรวมทั้งการใช้มันสมองด้วย ในปัจจุบันนี้มีวัดจานวนหนึ่งซึ่งส่งเสริมกิจกรรมจาพวก
ศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรมอยู่แล้ว แต่ก็อยู่ในรูปของต่างคนต่างทาโดยปราศจากการ
ขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบซึ่งมีผู้เสนอไว้แล้วตามแนวคิดที่มีคาย่อว่า “บวร” นั่นคือ การสนธิกัน
อย่างจริงจังระหว่าง “บ้าน” “วัด” และ “โรงเรียน” การสนธิกันคงทาได้ในหลากหลายแนวตาม
ความเหมาะสมของแต่ละท้องถิ่นเมื่อผู้นาของฝ่ายศาสนาและของฝ่ายรัฐพร้อมใจกันผลักดันให้
เกิดขึ้น แก่นของการสนธิกันควรเป็นด้านการศึกษาโดยการทาให้วัดเป็นศูนย์ข่าวสารและการ
เรียนรู้ตามอัธยาศัยของหมู่บ้านในย่านรอบ ๆ วัด บางวัดอาจมีพื้นที่สีเขียวและสนามเด็กเล่นหาก
สถานที่อานวย
สาหรับวัดในเมืองซึ่งทั้งพระและชุมชนรอบวัดมีการศึกษาสูงและเข้าถึงข่าวสารข้อมูล
อย่างกว้างขวางอยู่แล้ว วัดอาจเป็นเพียงศูนย์การเรียนและการปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัยของ
ผู้สนใจและพระที่มีความเชี่ยวชาญในบางด้านอาจเป็นวิทยากรให้แก่วัดในชนบท เพื่อให้กิจกรรม
ดาเนินไปในบรรยากาศที่ปราศจากกิจกรรมจาพวกสนับสนุนการบริโภค ไม่ควรใช้บริเวณวัดสร้าง
ร้านค้าถาวรหรือลานจอดรถ ส่วนวัดในชนบทอาจจัดเพียงมุมสาหรับอ่านหนังสือพิมพ์รายวัน
นิตยสารรายสัปดาห์และวารสารวิชาชีพของชุมชนรอบด้าน วัดส่วนใหญ่น่าจะทาได้มากกว่านั้น
จนอาจถึงขั้นมีห้องสมุด แหล่งข่าวสารผ่านระบบอินเทอร์เน็ตและศูนย์การเรียนรู้ทางไกล
สาหรับค่าใช้จ่าย ฝ่ายรัฐควรจัดงบประมาณให้ส่วนหนึ่งและวัดควรเรี่ยไรจากผู้มีใจศรัทธา
หรือจากการทอดผ้าป่าเพื่อนามาสบทบอีกส่วนหนึ่ง การเรี่ยไรและทอดผ้าป่าเพื่อหาปัจจัยมา
สนับสนุนศูนย์ข่าวสารข้อมูลและการเรียนรู้ในวัดอาจเป็นของแปลกสาหรับผู้ที่มีความคุ้นเคย
เฉพาะกับด้านของการสร้างถาวรวัตถุ แต่ถ้าฝ่ายผู้นาทางศาสนามีความเข้าใจและศรัทธาในหลัก
เศรษฐกิจแนวใหม่จริง ๆ โอกาสที่จะชักนาให้ประชาชนคล้อยตามย่อมมีความเป็นไปได้สูง ยิ่งถ้า
ผู้นาทางศาสนาปฏิบัติตนเป็นต้นแบบโดยการจากัดการบริโภคของตนเองและขับเคลื่อนการศึกษา
ของพระพร้อมกับบริจาคปัจจัยที่ได้รับมาส่วนหนึ่งให้กับกิจกรรมซึ่งจะทาให้วัดเป็นศูนย์ดังกล่าว
อย่างสม่าเสมอด้วยแล้ว การเรี่ยไรจะได้ผลสูงขึ้นอีก
พูดถึงด้านวัตถุ แนวโน้มในวงการศาสนาเป็นไปในทางเดียวกันกับกระแสโลกซึ่งมีการ
บริโภคเป็นตัวขับเคลื่อนมาเป็นเวลานาน วัดจึงมักผลักดันให้เกิดการก่อสร้างศาสนสถานจาพวก
อาคารใหญ่โตจนเกินความจาเป็นสาหรับประกอบศาสนกิจพร้อมทั้งเป็นผู้ร่วมประกอบพิธีกรรม
จาพวกฟุ้ งเฟ้ อต่าง ๆ การก่อสร้างเกินความจาเป็นควรถูกจากัดและผู้นาทางศาสนาควรเป็นผู้ชี้นา
ในด้านการจากัดพิธีกรรมจาพวกฟุ้ งเฟ้ อเพราะมันตรงข้ามกับคาสอนของศาสนาอยู่แล้ว
นอกจากนั้นการสร้างรูปปั้นของพระสงฆ์และขององค์ศาสดาและวัตถุมงคลซึ่งมีลักษณะของการ
บริโภคเกินความจาเป็นก็ควรถูกจากัดด้วย ผู้นาทางศาสนาควรชักจูงให้ผู้สร้างหันมาสนับสนุน
การศึกษาซึ่งเป็นการให้ทานทางปัญญาอันเป็นทานอันประเสริฐยิ่ง สาหรับทางฝ่ายรัฐบาล เมื่อ
การสร้างสิ่งเหล่านั้นเป็นการบริโภคเกินความจาเป็น รัฐก็ควรจัดเก็บภาษีตามอัตราที่เหมาะสม
ด้วย
ในยุคนี้การเรียนรู้นอกกรอบสถาบันการศึกษาที่สาคัญยิ่งเกิดขึ้นผ่านรายการโทรทัศน์ซึ่ง
เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมสูงมาก ฉะนั้น รัฐและองค์กรเอกชนจาเป็นที่จะต้องเน้นการใช้โทรทัศน์
เป็นพิเศษ รัฐต้องมีโทรทัศน์ที่ปราศจากการโฆษณาไว้สาหรับเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลที่มีประโยชน์
อย่างทั่วถึง การเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลด้านเศรษฐกิจแนวใหม่ควรใช้ผู้ที่ประชาชนให้ความสนใจสูง
เป็นผู้นาเสนอ ซึ่งอาจรวมทั้งดารายอดนิยม ขวัญใจวัยรุ่น นักกีฬาชั้นนาและพระนักเทศน์
นอกจากนั้นยังต้องมีการห้าม หรือจากัดเวลา การโฆษณาจาพวกที่จะกระตุ้นให้เกิดการบริโภค
สินค้าและบริการที่ไม่มีความจาเป็นต่อการดาเนินชีวิตอีกด้วย
4
พลังของระบบภาษี
บทที่ 1 อ้างถึงหัวใจของเศรษฐกิจใหม่ว่าได้แก่การจากัดการบริโภคเกินความจาเป็นและ
การจากัดอาจเกิดจากความสมัครใจของผู้ใช้ทรัพยากรเอง หรือ จากแรงจูงใจที่นโยบายของรัฐ
กระตุ้นให้เกิดก็ได้ บทนี้จะพูดถึงด้านแรงจูงใจโดยการใช้ระบบภาษีซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังยิ่ง
ของระบบตลาดเสรี
ตามแนวคิดเศรษฐกิจกระแสหลัก ฐานของการเก็บภาษีมีหลายอย่างด้วยกัน บางอย่าง
อ้างถึงการได้รับประโยชน์โดยตรงของผู้เสียภาษี เช่น ภาษีการใช้สนามบินซึ่งเก็บผ่านการซื้อตั๋ว
เครื่องบิน บางอย่างอ้างถึงความสามารถในการเสียภาษี เช่น ภาษีเงินได้ที่ใช้อัตราก้าวหน้าตาม
ระดับของรายได้ สาหรับเศรษฐกิจแนวใหม่ ฐานของการเก็บภาษีส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปสู่การ
จากัดการบริโภคเกินความจาเป็น ส่วนประกอบของระบบภาษีจะมีอะไรบ้างจะกาหนดได้หลังจาก
การวิเคราะห์โครงสร้างของการบริโภคอย่างละเอียดแล้ว ตอนนี้จะเสนอข้อคิดบางอย่างเพียง
คร่าว ๆ
เนื่องจากฐานของการเก็บภาษีอยู่ที่การจากัดการบริโภคเกินความจาเป็น ฉะนั้น สินค้า
และบริการส่วนใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มปัจจัยสี่จะเสียภาษีในอัตราต่าสุด หรือ บางอย่างอาจไม่เสียภาษี
เลยก็ได้ เช่น อาหารที่อยู่ในหมวดหมู่ที่ร่างกายจาเป็นต้องใช้ทุกวัน แต่อาหารอีกหลายอย่างที่ไม่มี
ความจาเป็นต่อร่างกายต้องเสียภาษีในอัตราสูง นอกจากนั้นอาหารที่ต้องนาเข้าจากท้องถิ่น
ห่างไกลต้องเสียภาษีในอัตราสูงด้วย ทั้งนี้เพื่อประหยัดการใช้พลังงานสาหรับการขนส่งซึ่งสร้าง
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง จากฐานของการคิดแบบนี้อาหารจาพวกน้าอัดลม นมข้นหวาน
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ไข่ปลาคาร์เวีย เป๋ าฮื้อ หูฉลาม รังนกนางแอ่น ปลาแซลมอน ปูขนและ
ผลไม้เมืองหนาวอาจต้องเสียภาษีในอัตราสูงกว่าอัตราที่เสียกันอยู่ในปัจจุบันมาก ๆ นอกจากนั้น
อาหารสาเร็จรูปที่รับประทานในภัตตาคารต้องเสียภาษีในอัตราพิเศษด้วย
ในหมู่เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าที่ใช้ในชีวิตประจาวันอาจไม่เสียภาษี หรือเสียในระดับต่า
ตรงข้ามเครื่องแต่งกายในหมวดหมู่หรูหรา เช่น ผ้าไหม เครื่องประดับจาพวกเพชรนิลจินดา
นาฬิกาเรือนทองฝังเพชร ผ้าพันคอและกระเป๋ าหิ้วสตรียี่ห้อกระฉ่อนโลก ต้องเสียภาษีในอัตราสูง
หมู่ที่อยู่อาศัยควรใช้อัตราภาษีแบบก้าวหน้าตามราคาหน่วยของที่อยู่ และเครื่องปรับอากาศต้อง
เสียภาษีในอัตราสูงกว่าพัดลม ส่วนหมู่ยารักษาโรคซึ่งรวมทั้งอาหารเสริมที่จาเป็นต่อร่างกาย
จาพวกวิตามินและเกลือแร่ไม่ควรเสียภาษี อย่างไรก็ดีในหมวดหมู่นี้มีเครื่องมือเกี่ยวกับการเล่น
กีฬาและการออกกาลังกายหลากหลายชนิดซึ่งควรเสียภาษีในอัตราที่แตกต่างกัน เช่น รองเท้า
สาหรับเดินและวิ่งออกกาลังกาย จักรยานและลูกฟุตบอลอาจเสียภาษีต่า ส่วนเครื่องมือสาหรับ
เล่นกอล์ฟและเจตสกีต้องเสียภาษีในอัตราสูง ๆ
นอกจากสินค้าและบริการในหมวดหมู่ปัจจัยสี่แล้ว ยังมีสินค้าและบริการอีกมากมายที่
ควรคิดภาษีในแนวเดียวกันด้วย เช่น รถเก๋งควรเก็บภาษีแบบก้าวหน้าตามราคาและแรงม้าของ
เครื่องยนต์ นอกจากนั้นควรเก็บภาษีน้ามันสูงกว่าในอัตราปัจจุบันเพื่อลดผลกระทบต่อ
สิ่งแวดล้อม ส่วนในด้านเครื่องมือเครื่องใช้ซึ่งส่วนใหญ่มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้และการทางาน
ควรเสียภาษีในอัตราต่า เช่น กระดาษ หนังสือ เครื่องเขียน คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์
การเก็บภาษีบริการก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่ค่าบริการเบื้องต้น เช่น การตัดผมและการซัก
รีด ไม่ควรเสียภาษี อีกหลายอย่างควรเสียภาษีเช่นเดียวกับค่าอาหารในภัตตาคารต่าง ๆ เช่น การ
อาบอบนวด ค่าบริการในโรงแรมและค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว
เนื่องจากฐานของการเก็บภาษีอยู่ที่การจากัดการบริโภคเกินความจาเป็น ฉะนั้น การเก็บ
ภาษีสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับการบริโภคก็ควรได้รับการพิจารณาใหม่ทั้งหมดด้วย บางอย่างอาจยกเลิก
หรือเก็บในอัตราต่า เช่น ภาษีกาไรส่วนทุนอันเกิดจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และ
ภาษีมูลค่าเพิ่มเนื่องจากภาษีเหล่านี้ไม่มีผลต่อการจากัดการบริโภคดังกล่าว อย่างไรก็ตามกิจการ
จาพวกต่อยอด เช่น การซื้อขายอนุพันธ์ต่าง ๆ ควรเก็บภาษีให้สูงไว้เนื่องจากกิจการเหล่านี้มี
ลักษณะเป็นกาฝากมากกว่าที่จะเอื้อให้เกิดการระดมทุนที่แท้จริงและเป็นกิจกรรมสาคัญอย่างหนึ่ง
ซึ่งก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจรวมทั้งที่กาลังเกิดอยู่ทั่วโลกในระหว่างปี 2551 ด้วย ในขณะเดียวกันก็
อาจไม่เก็บภาษีจากมรดกตกทอด จากการโอนอสังหาริมทรัพย์และจากรายได้ที่เกิดจากดอกเบี้ย
เงินฝาก
อย่างไรก็ดี ภาษีบางอย่างอาจต้องคงไว้ในระดับหนึ่ง เช่น ภาษีศุลกากร ภาษีที่ดิน ภาษี
เงินได้และภาษีธุรกิจ ทั้งนี้เพราะการเก็บภาษีบนฐานใหม่อาจไม่สามารถทาให้รัฐมีรายได้อย่าง
เพียงพอ หากการศึกษาพบว่ายังจาเป็นต้องเก็บภาษีเงินได้ ส่วนที่ยกเว้นควรเพิ่มขึ้น เช่น รายได้
ขั้นต่าและส่วนที่บริจาคให้องค์กรเอกชนซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อการกุศล การส่งเสริมความสัมพันธ์อัน
ดีในชุมชนและการสนับสนุนการศึกษา ในทานองเดียวกัน ภาษีที่ผู้ประกอบการต่าง ๆ ต้องเสีย
อาจมีส่วนยกเว้นมากขึ้น เช่น ในช่วงแรกของการเริ่มก่อตั้งธุรกิจ การลงทุนที่ก่อให้เกิดการจ้างงาน
ในท้องถิ่นกันดาร ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาและการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายซึ่งแฝงการบริโภคเกินความจาเป็นไว้ไม่ควรให้นามาใช้หักภาษี เช่น การ
พาลูกค้าไปรับประทานอาหารในภัตตาคาร ไปเล่นกอล์ฟและไปเที่ยวตามแหล่งบันเทิงเริงรมย์
เนื่องจากภาษีจะมีพลังในการสร้างแรงจูงใจสูงมากและการเปลี่ยนฐานของการเก็บภาษี
จะนาไปสู่การรื้อระบบที่มีอยู่แบบขนานใหญ่ซึ่งจะทาให้มีผู้ได้ผู้เสียอย่างกว้างขวางพร้อมทั้งอาจ
กระทบต่อข้อตกลงระหว่างประเทศ ฉะนั้น จึงควรมีการศึกษาอย่างละเอียดและการปรับใช้อาจ
ต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปตามขั้นตอน อย่างไรก็ตามในระบบตลาดเสรีที่เอกชนมีเสรีภาพใน
การตัดสินใจ การใช้ภาษีในแนวที่กล่าวมานี้จะต้องเกิดขึ้นหากเราต้องการก้าวเข้าสู่โลกหลังยุค
บริโภคนิยม
5
การใช้งบประมาณและวินัยการคลัง
บทที่ 2 ชี้ให้เห็นว่า เมื่อคนเรามีปัจจัยเพียงพอต่อความต้องการเบื้องต้นของร่างกายแล้ว
ความสุขกายสบายใจอันเป็นเป้ าหมายหลักของชีวิตมักเกิดจากการปฏิบัติตนเองเป็นส่วนใหญ่
บทนี้จะพูดถึงการใช้งบประมาณของรัฐซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่จะพา
ประชาชนไปสู่เป้ าหมาย
ดังที่อ้างถึงในบทที่ 1 เศรษฐกิจแนวใหม่จาเป็นต้องใช้ระบบตลาดเสรีที่รัฐเข้าไปมีบทบาท
โดยตรงในบางกรณีเพื่อขับเคลื่อนให้การพัฒนาเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ เนื่องจากรัฐบาลไทย
ใช้แนวคิดนี้มาเป็นเวลานานรวมทั้งการใช้งบประมาณเพื่อขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาด้วย
ฉะนั้น ประเด็นจึงอยู่ที่การปรับงบประมาณให้การพัฒนาเป็นไปในทิศทางของเศรษฐกิจแนวใหม่
เพื่อพาประชาชนไปสู่เป้ าหมายอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ก่อนจะเสนอข้อคิดเพื่อปรับงบประมาณ ขอ
พูดถึงความสาคัญของการมีวินัยการคลังว่า เท่าที่ผ่านมารัฐบาลไทยมีวินัยอยู่ในเกณฑ์ดี นั่นคือ
ในช่วงที่พยายามเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจมาราว 50 ปี ไม่มีรัฐบาลไหนใช้งบประมาณแบบขาดดุล
จนทาให้เศรษฐกิจขาดเสถียรภาพอย่างร้ายแรงเช่นบางประเทศในแถบละตินอเมริกา ในการ
ขับเคลื่อนให้เกิดเศรษฐกิจแนวใหม่ รัฐบาลต้องคงไว้ซึ่งวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด
เฉกเช่นระบบภาษีซึ่งจะต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดก่อนปรับใช้สาหรับขับเคลื่อน
เศรษฐกิจแนวใหม่ การใช้งบประมาณก็ต้องได้รับการศึกษาอย่างละเอียดด้วย อย่างไรก็ตามใน
ขณะนี้มีการใช้จ่ายบางด้านที่รัฐบาลสามารถจากัดได้ทันที เริ่มด้วยการตัดทอนโครงการประชา
นิยมต่าง ๆ โครงการจาพวกนี้มีลักษณะของยาเสพติดซึ่งทาให้ประเทศที่นามาใช้ประสบปัญหา
ร้ายแรงถึงกับล้มละลาย เมืองไทยเพิ่งนามาใช้ไม่ถึง 8 ปี ฉะนั้น รัฐบาลยังมีโอกาสตัดทอนก่อนที่
มันจะทาให้คนไทยเสพติดจนส่งผลให้เมืองไทยล้มละลายเช่นเดียวกับประเทศในแถบละติน
อเมริกา5
ตามแนวคิดเบื้องต้น โครงการด้านสุขภาพถ้วนหน้าที่รัฐบาลต้องการให้คนไทยเข้าถึงนั้น
เป็นโครงการที่มีความตั้งใจดีและไม่มีความเป็นประชานิยมแฝงอยู่ อย่างไรก็ตามการปฏิบัติ
ในช่วงหลัง ๆ นี้มีลักษณะเป็นประชานิยมอย่างแจ้งชัดเพราะรัฐบาลต้องการสร้างความประทับใจ
ให้แก่ประชาชนว่า พวกเขากาลังได้ของเปล่าที่รัฐบาลใจดีนามาหยิบยื่นให้ การกระทาเช่นนั้นเป็น
การปูฐานของความคาดหวังผิด ๆ ขึ้นในใจของประชาชน ความคาดหวังดังกล่าวจะเป็นตัว
ขับเคลื่อนให้เกิดการเรียกร้องเอาของเปล่าจากรัฐต่อไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนรัฐบาลจะไม่
5
กระบวนการล้มละลายของอาร์เจนตินาซึ่งเป็นต้นฉบับของการนานโยบายแนวประชานิยมอย่างเข้มข้นมาใช้
อาจหาอ่านได้ในหนังสือชื่อ ประชานิยม: หายนะจากอาร์เจนตินาถึงไทย (สานักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์, 2546)
สามารถให้ได้เพราะค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่ารายได้เนื่องจากผู้สูงอายุจะมีสัดส่วนสูงขึ้น
และเทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษาพยาบาลก็นับวันจะแพงขึ้น ในขณะนี้ประเทศที่มั่งคั่งก็ยังไม่
สามารถจะช่วยประชาชนให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ตามที่ประชาชนต้องการทุกอย่างทั้งที่เก็บ
ภาษีในอัตราสูงแล้ว ฉะนั้น รัฐบาลไทยจะต้องยอมรับความจริงข้อนี้และเริ่มชี้แจงให้ประชาชน
เข้าใจพร้อมกับตั้งเพดานของการใช้จ่ายในด้านนี้ไว้ด้วย
นอกจากค่าใช้จ่ายในโครงการประชานิยมแล้ว ด้านที่รัฐบาลควรพิจารณาตัดทอนได้ก่อน
การศึกษาจะแล้วเสร็จได้แก่ค่าใช้จ่ายจาพวกโฆษณาผลงานของรัฐบาล การไปทัศนศึกษา
โดยเฉพาะในต่างประเทศและการประชุมสัมมนาเวลาใกล้สิ้นปีงบประมาณซึ่งแต่ละอย่างอาจดูไม่
มากนักแต่มักเป็นการใช้เงินไม่คุ้มค่าและเมื่อรวมกันเข้าก็เป็นจานวนมาก นอกจากนั้นควร
พิจารณาตัดค่าใช้จ่ายของกองทัพซึ่งมีนายทหารระดับนายพลล้นงานเพราะมีอยู่ในอัตราสูงกว่า
กองทัพส่วนใหญ่ในโลก
ในช่วงเวลาเร่งรัดพัฒนาประเทศ รัฐบาลเน้นการลงทุนในปัจจัยพื้นฐานเพื่อเอื้อให้ระบบ
ตลาดเสรีทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเศรษฐกิจแนวใหม่ต้องใช้ระบบตลาดเสรี การ
เน้นการลงทุนในแนวนี้จึงควรดาเนินต่อไป อย่างไรก็ตามเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดเศรษฐกิจแนวใหม่
ส่วนประกอบของการลงทุนในปัจจัยพื้นฐานควรได้รับการปรับเปลี่ยน มองอย่างกว้าง ๆ การลงทุน
จากส่วนกลางควรเริ่มด้วยการปรับเปลี่ยนดังนี้คือ ด้านแรกได้แก่การขนส่งซึ่งรถไฟจะต้องได้รับ
การปรับปรุงอย่างจริงจังทั้งในด้านการขนถ่ายสินค้าและในด้านการเดินทางของประชาชน ด้านที่
สองเกี่ยวกับการสร้างเมืองใหม่เพื่อผ่องถ่ายความแออัดออกจากกรุงเทพฯ แนวคิดนี้มีมานานแต่
รัฐบาลยังไม่ขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ก่อนที่ภาวะโลกร้อนจะทาให้กรุงเทพฯ จมบาดาล
และดึงงบประมาณลงทุนไปใช้ในกรุงเทพฯ ในสัดส่วนที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก รัฐบาลต้องมีความกล้า
หาญที่จะไปสร้างเมืองบริวารของกรุงเทพฯ สักสองสามเมืองอย่างเร่งด่วน ด้านที่สามได้แก่การ
สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาซึ่งจะต้องได้รับงบประมาณในสัดส่วนที่สูงกว่าในปัจจุบันมาก ๆ6
สาหรับในระดับท้องถิ่น แต่ละแห่งจาเป็นต้องใช้จ่ายให้ตรงกับความต้องการของท้องถิ่น
ซึ่งแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามฐานของการพิจารณาไม่น่าจะต่างกันมากนัก นั่นคือ การใช้จ่ายที่
ควรได้รับความสาคัญอันดับต้น ๆ ได้แก่การลงทุนในปัจจัยพื้นฐานที่เสริมการลงทุนของส่วนกลาง
เพื่อให้ตลาดเสรีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รองลงมาน่าจะเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึง
ปัจจัย 7 อย่างที่ช่วยสร้างความสุขกายสบายใจดังที่กล่าวถึงในบทที่ 2 ซึ่งอาจประกอบด้วยศูนย์
6
ในขณะที่เมืองไทยใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศราว 0.3% เพื่อการวิจัยและพัฒนา เกาหลีใต้ใช้ใกล้ 3%
[จากหนังสือเรื่อง สู่จุดจบ ! (สานักพิมพ์โอ้พระเจ้า, 2549) หน้า 101] ข้อมูลจากนิตยสาร The Economist
ฉบับประจาวันที่ 3-9 มกราคา 2009 หน้า 47 บ่งว่าค่าใช้จ่ายสาหรับการวิจัยและพัฒนาเฉพาะของบริษัทในจีน
ใกล้เคียงกับของบริษัทในสหภาพยุโรปซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย
ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย

Mais conteúdo relacionado

Semelhante a ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย

ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศKlangpanya
 
บทบาทของกองทัพในทศวรรษหน้า
บทบาทของกองทัพในทศวรรษหน้าบทบาทของกองทัพในทศวรรษหน้า
บทบาทของกองทัพในทศวรรษหน้าTeeranan
 
World issues
World issuesWorld issues
World issuesTeeranan
 
World issues 160155
World issues 160155World issues 160155
World issues 160155Teeranan
 
World Think Tank Monitors l มีนาคม 2559
World Think Tank Monitors l มีนาคม 2559World Think Tank Monitors l มีนาคม 2559
World Think Tank Monitors l มีนาคม 2559Klangpanya
 
โลกาภิวัตน์
โลกาภิวัตน์โลกาภิวัตน์
โลกาภิวัตน์Lao-puphan Pipatsak
 
โลกาภิวัตน์
โลกาภิวัตน์โลกาภิวัตน์
โลกาภิวัตน์Jib Dankhunthot
 
Global issues 220355
Global issues 220355Global issues 220355
Global issues 220355Teeranan
 
ภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติ
ภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติ
ภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติTeeranan
 
แผนพัฒนาการศึกษา 11
แผนพัฒนาการศึกษา 11แผนพัฒนาการศึกษา 11
แผนพัฒนาการศึกษา 11Ch Khankluay
 
ทุนนิยมไทยและทุนนิยมโลก : กรณีการค้าไม้สักในยุคอาณานิคม
ทุนนิยมไทยและทุนนิยมโลก : กรณีการค้าไม้สักในยุคอาณานิคมทุนนิยมไทยและทุนนิยมโลก : กรณีการค้าไม้สักในยุคอาณานิคม
ทุนนิยมไทยและทุนนิยมโลก : กรณีการค้าไม้สักในยุคอาณานิคมKlangpanya
 

Semelhante a ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย (13)

ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
 
บทบาทของกองทัพในทศวรรษหน้า
บทบาทของกองทัพในทศวรรษหน้าบทบาทของกองทัพในทศวรรษหน้า
บทบาทของกองทัพในทศวรรษหน้า
 
World issues
World issuesWorld issues
World issues
 
World issues 160155
World issues 160155World issues 160155
World issues 160155
 
World Think Tank Monitors l มีนาคม 2559
World Think Tank Monitors l มีนาคม 2559World Think Tank Monitors l มีนาคม 2559
World Think Tank Monitors l มีนาคม 2559
 
โลกาภิวัตน์
โลกาภิวัตน์โลกาภิวัตน์
โลกาภิวัตน์
 
โลกาภิวัตน์
โลกาภิวัตน์โลกาภิวัตน์
โลกาภิวัตน์
 
Global issues 220355
Global issues 220355Global issues 220355
Global issues 220355
 
แผนฉบับย่อ
แผนฉบับย่อแผนฉบับย่อ
แผนฉบับย่อ
 
ภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติ
ภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติ
ภัยคุกคามความมั่นคงแห่งชาติ
 
Thai Education Master Plan # 11
Thai Education Master Plan # 11Thai Education Master Plan # 11
Thai Education Master Plan # 11
 
แผนพัฒนาการศึกษา 11
แผนพัฒนาการศึกษา 11แผนพัฒนาการศึกษา 11
แผนพัฒนาการศึกษา 11
 
ทุนนิยมไทยและทุนนิยมโลก : กรณีการค้าไม้สักในยุคอาณานิคม
ทุนนิยมไทยและทุนนิยมโลก : กรณีการค้าไม้สักในยุคอาณานิคมทุนนิยมไทยและทุนนิยมโลก : กรณีการค้าไม้สักในยุคอาณานิคม
ทุนนิยมไทยและทุนนิยมโลก : กรณีการค้าไม้สักในยุคอาณานิคม
 

Mais de WiseKnow Thailand

Capital in the Twenty-First Century.pdf
Capital in the Twenty-First Century.pdfCapital in the Twenty-First Century.pdf
Capital in the Twenty-First Century.pdfWiseKnow Thailand
 
eBook_A_Legacy_for_All_6July2022.pdf
eBook_A_Legacy_for_All_6July2022.pdfeBook_A_Legacy_for_All_6July2022.pdf
eBook_A_Legacy_for_All_6July2022.pdfWiseKnow Thailand
 
The Age of Spiritual Machines: When Computers Exceed Human Intelligence
The Age of Spiritual Machines: When Computers Exceed Human IntelligenceThe Age of Spiritual Machines: When Computers Exceed Human Intelligence
The Age of Spiritual Machines: When Computers Exceed Human IntelligenceWiseKnow Thailand
 
ตำราตรวจโรคหมอสุรเกียรติ์.pdf
ตำราตรวจโรคหมอสุรเกียรติ์.pdfตำราตรวจโรคหมอสุรเกียรติ์.pdf
ตำราตรวจโรคหมอสุรเกียรติ์.pdfWiseKnow Thailand
 
รายงานผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
รายงานผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564รายงานผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
รายงานผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564WiseKnow Thailand
 
เอกสารการแถลงผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
เอกสารการแถลงผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564เอกสารการแถลงผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
เอกสารการแถลงผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564WiseKnow Thailand
 
คู่มือฉบับประชาชน กรณีรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักกันตนเอง.pdf
คู่มือฉบับประชาชน กรณีรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักกันตนเอง.pdfคู่มือฉบับประชาชน กรณีรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักกันตนเอง.pdf
คู่มือฉบับประชาชน กรณีรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักกันตนเอง.pdfWiseKnow Thailand
 
Thailand Internet User Behavior 2020 Presentation
Thailand Internet User Behavior 2020 PresentationThailand Internet User Behavior 2020 Presentation
Thailand Internet User Behavior 2020 PresentationWiseKnow Thailand
 
Thailand Internet User Behavior 2020
Thailand Internet User Behavior 2020Thailand Internet User Behavior 2020
Thailand Internet User Behavior 2020WiseKnow Thailand
 
เรียนรู้ อยู่กับฝุ่น PM2.5
เรียนรู้ อยู่กับฝุ่น PM2.5เรียนรู้ อยู่กับฝุ่น PM2.5
เรียนรู้ อยู่กับฝุ่น PM2.5WiseKnow Thailand
 
Thailand Economic Monitor - Harnessing Fintech for Financial Inclusion
Thailand Economic Monitor - Harnessing Fintech for Financial InclusionThailand Economic Monitor - Harnessing Fintech for Financial Inclusion
Thailand Economic Monitor - Harnessing Fintech for Financial InclusionWiseKnow Thailand
 
สู่จุดจบ! | The Coming Collapse of Thailand
สู่จุดจบ! | The Coming Collapse of Thailandสู่จุดจบ! | The Coming Collapse of Thailand
สู่จุดจบ! | The Coming Collapse of ThailandWiseKnow Thailand
 
เอกสารการแถลงผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2560
เอกสารการแถลงผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2560เอกสารการแถลงผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2560
เอกสารการแถลงผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2560WiseKnow Thailand
 
Thailand Internet User Profile 2016
Thailand Internet User Profile 2016Thailand Internet User Profile 2016
Thailand Internet User Profile 2016WiseKnow Thailand
 
เอกสารประกอบของ Thailand Internet User Profile 2016
เอกสารประกอบของ Thailand Internet User Profile 2016 เอกสารประกอบของ Thailand Internet User Profile 2016
เอกสารประกอบของ Thailand Internet User Profile 2016 WiseKnow Thailand
 
What if the next big disruptor isn’t a what but a who?
What if the next big disruptor isn’t a what but a who?What if the next big disruptor isn’t a what but a who?
What if the next big disruptor isn’t a what but a who?WiseKnow Thailand
 
The Future 100: Trends and Change to Watch in 2016
The Future 100: Trends and Change to Watch in 2016The Future 100: Trends and Change to Watch in 2016
The Future 100: Trends and Change to Watch in 2016WiseKnow Thailand
 

Mais de WiseKnow Thailand (20)

Capital in the Twenty-First Century.pdf
Capital in the Twenty-First Century.pdfCapital in the Twenty-First Century.pdf
Capital in the Twenty-First Century.pdf
 
eBook_A_Legacy_for_All_6July2022.pdf
eBook_A_Legacy_for_All_6July2022.pdfeBook_A_Legacy_for_All_6July2022.pdf
eBook_A_Legacy_for_All_6July2022.pdf
 
The Age of Spiritual Machines: When Computers Exceed Human Intelligence
The Age of Spiritual Machines: When Computers Exceed Human IntelligenceThe Age of Spiritual Machines: When Computers Exceed Human Intelligence
The Age of Spiritual Machines: When Computers Exceed Human Intelligence
 
ตำราตรวจโรคหมอสุรเกียรติ์.pdf
ตำราตรวจโรคหมอสุรเกียรติ์.pdfตำราตรวจโรคหมอสุรเกียรติ์.pdf
ตำราตรวจโรคหมอสุรเกียรติ์.pdf
 
รายงานผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
รายงานผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564รายงานผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
รายงานผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
 
เอกสารการแถลงผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
เอกสารการแถลงผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564เอกสารการแถลงผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
เอกสารการแถลงผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ปี 2564
 
คู่มือฉบับประชาชน กรณีรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักกันตนเอง.pdf
คู่มือฉบับประชาชน กรณีรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักกันตนเอง.pdfคู่มือฉบับประชาชน กรณีรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักกันตนเอง.pdf
คู่มือฉบับประชาชน กรณีรักษาแบบผู้ป่วยนอกและแยกกักกันตนเอง.pdf
 
Thailand Internet User Behavior 2020 Presentation
Thailand Internet User Behavior 2020 PresentationThailand Internet User Behavior 2020 Presentation
Thailand Internet User Behavior 2020 Presentation
 
Thailand Internet User Behavior 2020
Thailand Internet User Behavior 2020Thailand Internet User Behavior 2020
Thailand Internet User Behavior 2020
 
เรียนรู้ อยู่กับฝุ่น PM2.5
เรียนรู้ อยู่กับฝุ่น PM2.5เรียนรู้ อยู่กับฝุ่น PM2.5
เรียนรู้ อยู่กับฝุ่น PM2.5
 
Thailand Economic Monitor - Harnessing Fintech for Financial Inclusion
Thailand Economic Monitor - Harnessing Fintech for Financial InclusionThailand Economic Monitor - Harnessing Fintech for Financial Inclusion
Thailand Economic Monitor - Harnessing Fintech for Financial Inclusion
 
สู่จุดจบ! | The Coming Collapse of Thailand
สู่จุดจบ! | The Coming Collapse of Thailandสู่จุดจบ! | The Coming Collapse of Thailand
สู่จุดจบ! | The Coming Collapse of Thailand
 
CLS for Volunteer
CLS for VolunteerCLS for Volunteer
CLS for Volunteer
 
เอกสารการแถลงผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2560
เอกสารการแถลงผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2560เอกสารการแถลงผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2560
เอกสารการแถลงผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2560
 
Cyber Threats 2015
Cyber Threats 2015Cyber Threats 2015
Cyber Threats 2015
 
Thailand Internet User Profile 2016
Thailand Internet User Profile 2016Thailand Internet User Profile 2016
Thailand Internet User Profile 2016
 
เอกสารประกอบของ Thailand Internet User Profile 2016
เอกสารประกอบของ Thailand Internet User Profile 2016 เอกสารประกอบของ Thailand Internet User Profile 2016
เอกสารประกอบของ Thailand Internet User Profile 2016
 
What if the next big disruptor isn’t a what but a who?
What if the next big disruptor isn’t a what but a who?What if the next big disruptor isn’t a what but a who?
What if the next big disruptor isn’t a what but a who?
 
Interaction 2016
Interaction 2016Interaction 2016
Interaction 2016
 
The Future 100: Trends and Change to Watch in 2016
The Future 100: Trends and Change to Watch in 2016The Future 100: Trends and Change to Watch in 2016
The Future 100: Trends and Change to Watch in 2016
 

ทางข้ามเหว : แนวคิดสำหรับแก้วิกฤติไทย

  • 2. ดร. ไสว บุญมา เป็นชาวอาเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก ได้รับการศึกษา เบื้องต้นที่โรงเรียนวัดแหลมไม้ย้อยและโรงเรียนบ้านนา “นายกพิทยากร” อาเภอบ้านนา การศึกษาวิชาครูที่มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรีและมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และ การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ Claremont McKenna College และ Claremont Graduate University หลังจากสอนหนังสือและทางานด้านการพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมที่ธนาคารพัฒนาเอเซียและธนาคารโลกเป็นเวลา 25 ปี ได้ออกมาศึกษาวิชาต่าง ๆ เพิ่มเติม ทางข้ามเหว เป็นหนังสือเล่มที่ 19 ซึ่ง ดร. ไสว เขียนเองหรือเขียนกับผู้ร่วมงาน
  • 3. ในปัจจุบัน ดร. ไสว แบ่งเวลาระหว่างอยู่ในสหรัฐอเมริกากับเมืองไทย เขียนคอลัมน์ “บ้าน เขา-เมืองเรา” ในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ คอลัมน์ “Outside the Box” ใน หนังสือพิมพ์ The Bangkok Post ร่วมเขียนคอลัมน์ “คิดถึงเมืองไทย” ในหนังสือพิมพ์ เอ เอสทีวีผู้จัดการ และคอลัมน์ “ระดมสมอง” ในหนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ และเป็น นักเขียนประจานิตยสาร ครอบครัวพอเพียง ธุรกิจกับสังคม และหนังสือพิมพ์ ชาวกรุง USA หนังสือที่ ดร. ไสว เขียนเองและเขียนกับผู้ร่วมงาน จดหมายจากบ้านนา ฟังอย่างไรจะได้ยิน จดหมาจากวอชิงตัน เศรษฐกิจพอเพียง: ภูมิปัญญาชาติไทย ไอเอ็มเอฟ ไอเอ็มเอฟ ไอเอ็มเอฟ เสือ สิงห์ กระทิง แรด สามแผ่นดิน เล่าเรื่องเมืองน้ามัน อเมริกาที่ยังใช้ม้าเทียมไถ บ้านนอก เมืองนอก ประชานิยม: หายนะจากอาร์เจนตินาถึงไทย ? คิดนอกคอก ทานอกคัมภีร์ โต้คลื่นลูกที่ 4 เลียนแบบรุ่ง ลอกแบบล่ม สู่จุดจบ ! กะลาภิวัตน์ ธาตุ 4 พิโรธ มองเมืองไทย: จากสิบปีของการใช้หนี้แผ่นดิน ทางข้ามเหว: แนวคิดสาหรับแก้วิกฤติไทย สู่ความเป็นอยู่แบบยั่งยืน
  • 4. (หากต้องการอ่านหนังสือที่ ดร. ไสว จัดพิมพ์เอง แต่ไม่สามารถหาได้ในร้าน หนังสือหรือในห้องสมุด กรุณาติดต่อ ผศ. ทัศนีย์ กระต่ายอินทร์ โทรศัพท์ (036) 411-150 หรือ (036) 617-200)
  • 5. คานา เมื่อต้นปี 2543 ในหนังสือชื่อ เศรษฐกิจพอเพียง: ภูมิปัญญาชาติไทย ผมเสนอให้ รัฐบาลตั้งคณะกรรมการประกอบด้วยปราชญ์ของชาติขึ้นมาร่างแนวการพัฒนาสาหรับอนาคตของ เมืองไทย ข้อเสนอนั้นเงียบหายไปเพราะผมไม่เห็นใครอ้างถึงแม้แต่ครั้งเดียว ผมเสนอซ้าเมื่อต้นปี 2549 ในหนังสือชื่อ โต้คลื่นลูกที่ 4 คราวนี้คุณสุทธิชัย เอี่ยมเจริญยิ่ง นักธุรกิจผู้มากด้วยจิต วิญญาณของการเอื้ออาทรต่อสังคมไทย แสดงความสนใจและแนะนาให้ผมร่างแนวการพัฒนา ออกมาโดยลาพัง ผมแย้งว่าผมไม่ใช่ปราชญ์จึงมิควรบังอาจ หรือมีความสามารถพอ ที่จะทาได้ และงานสาคัญขนาดนั้นต้องมาจากการช่วยกันคิด หลังจากทบทวนคาแนะนาของคุณสุทธิชัยอยู่ หลายเที่ยว ผมตัดสินใจเขียนข้อคิดออกมากว้าง ๆ ด้วยความหวังที่จะจุดประกายให้ผู้สนใจใน อนาคตของเมืองไทยนาไปช่วยกันคิดต่อ โดยแยกเสนอเป็น 14 ตอนในคอลัมน์ “บ้านเข้า เมืองเรา” ของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ทุกวันศุกร์ จากฉบับประจาวันที่ 31 ตุลาคม 2551 ถึงวันที่ 30 มกราคม 2552 ผมนาเสนอเช่นนั้นเพราะต้องการได้รับข้อคิดเห็นจากผู้อ่านเป็นหลัก หลังจากลงพิมพ์ได้หลายตอน แพทย์หญิงนภาพร ลิมป์ ปิยากร แสดงความประสงค์จะ นามาทาเป็นเล่มเพราะเห็นว่าคนไทยที่ไม่มีโอกาสอ่านกรุงเทพธุรกิจน่าจะมีโอกาสนาข้อคิดไป พิจารณาด้วย ผมจึงนาทั้งหมดมาปรับเปลี่ยนและเขียนเพิ่มเพื่อให้ครอบคลุมปัญหาของไทยใน ปัจจุบันมากขึ้นพร้อมกับเสริมแหล่งข้อมูลและหนังสืออ้างอิงสาหรับผู้ที่มีความสนใจจะไปค้นคว้า ต่อ ท่านผู้อ่านที่มีความเข้าใจในแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเป็นอย่างดีจะมองเห็นทันทีว่า ข้อคิดของผมส่วนใหญ่วางอยู่ในกรอบของเศรษฐกิจพอเพียงโดยเน้นส่วนที่เป็นแนวนโยบายและ เป้ าหมายในระดับชาติมากกว่าส่วนสาคัญยิ่งอีกส่วนหนึ่งซึ่งได้แก่การดาเนินชีวิตตามหลัก เศรษฐกิจพอเพียงในระดับบุคคล เกี่ยวกับส่วนหลังนี้ผมได้เขียนไว้ในหลายโอกาสแล้ว ล่าสุดใน หนังสือชื่อ มองเมืองไทย: จากสิบปีของการใช้หนี้แผ่นดิน ขอขอบคุณคุณสุทธิชัยที่ให้คาแนะนา บรรณาธิการและผู้อ่านกรุงเทพธุรกิจที่กรุณาให้ หน้ากระดาษและข้อคิดเห็น และคุณหมอนภาพรที่ยอมสละทุนรอนและเวลาจัดพิมพ์ออกมาเป็น เล่ม หวังว่าท่านผู้อ่านจะมีเวลานาข้อคิดไปพิจารณาต่อสมกับที่คุณหมอคาดหวัง ด้วยความปรารถนาดี ไสว บุญมา 5 กุมภาพันธ์ 2552
  • 7. ทางข้ามเหว แนวคิดสาหรับแก้วิกฤติไทย สารบัญ คาอุทิศ คานา 1. สมมติฐานและกรอบของการคิด 2. เป้ าหมายของชีวิต 3. บทบาทของการศึกษา 4. พลังของระบบภาษี 5. การใช้งบประมาณและวินัยการคลัง 6. บทเรียนจากภาคการเงิน 7. การค้าขายภายนอกประเทศ 8. การสร้างและการกระจายผลผลิต 9. ทรัพยากรป่าและการรักษาที่ดิน 10. ทิศทางของภาคเกษตรกรรม 11. ทรัพย์ในดินสินในน้า 12. ทิศทางของภาคอุตสาหกรรมและบริการ บทส่งท้าย
  • 8. 1 สมมติฐานและกรอบของการคิด เมืองไทยกาลังเผชิญกับวิกฤติสองด้านซึ่งซ้อนกันอยู่คือ วิกฤติการเมืองและวิกฤติ เศรษฐกิจ สาเหตุพื้นฐานของวิกฤติการเมืองได้แก้ความฉ้อฉลร้ายแรงซึ่งนาไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาล หลายครั้งในช่วงปี 2549-2551 และการชุมนุมประท้วงของประชาชนกลุ่มใหญ่ซึ่งส่งผลให้เกิดการ เสียชีวิตเมื่อตอนปลายปี 2551 สาเหตุพื้นฐานของวิกฤติเศรษฐกิจได้แก่การพัฒนาตามแนวคิด กระแสหลักและผลกระทบจากเหตุการณ์ภายนอก การชุมนุมประท้วงขนาดใหญ่ในปี 2551 แสดง ให้เห็นถึงความเข้มแข็งของการเมืองภาคประชาชนซึ่งทนดูความฉ้อฉลในสังคมไทยต่อไปไม่ได้อีก แล้ว ฉะนั้น สมมุติฐานของการเสนอเรื่องนี้คือ ต่อไปเมืองไทยจะเริ่มมีการเมืองใหม่ซึ่งคนไทยส่วน ใหญ่จะไม่ยอมให้บุคคลที่ฉ้อฉลเข้ามาบริหารบ้านเมือง เมื่อมีการเมืองใหม่ เมืองไทยควร ปรับเปลี่ยนแนวพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่กันไปด้วยเพื่อสร้างฐานสาหรับการพัฒนาแบบยั่งยืน วิกฤติเศรษฐกิจโลกซึ่งเริ่มเมื่อกลางปี 2550 บ่งชี้อย่างแจ้งชัดว่า การพัฒนาเศรษฐกิจแนว อเมริกันซึ่งใช้การบริโภค หรือการใช้ทรัพยากรแบบเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นหัวจักรขับเคลื่อน เป็นการพัฒนาที่ไม่มีทางยั่งยืน การบริโภคแบบนั้นนาไปสู่การใช้กลวิธีหลากหลายเพื่อให้ได้มาซึ่ง ทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดกฎหมาย การทาลายจรรยาบรรณ หรือการรุกรานผู้อื่น โลก ต้องการเศรษฐกิจแนวใหม่ซึ่งไม่ใช้การบริโภคแบบเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นตัวขับเคลื่อน ใน ปัจจุบันนี้ชาวอเมริกันราว 25% มองเห็นความจาเป็นที่จะต้องมีเศรษฐกิจแนวใหม่และได้เริ่ม จากัดการบริโภคของตัวเองแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังมองไม่เห็น ส่งผลให้การบริโภคเกินความจาเป็น เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง1 ฉะนั้น เศรษฐกิจแนวใหม่จะต้องไม่รอให้ชาวอเมริกันเป็นผู้นา ผู้อื่นจะต้อง ทาการบุกเบิกเอง คนไทยควรอยู่ในกลุ่มผู้บุกเบิกด้วย ผลการศึกษายืนยันซ้าแล้วซ้าเล่าว่า คนเรามีความสุขสูงสุดเมื่อมีปัจจัยเพียงพอต่อความ ต้องการเบื้องต้นของร่างกายพร้อมกับมีปัจจัยอื่นที่มีความสาคัญต่อด้านจิตใจควบคู่กันไปด้วย เช่น ความสัมพันธ์อันดีกับผู้ที่อยู่รอบข้าง และกิจกรรมที่ทาให้ร่างกายเคลื่อนไหวและจิตใจเบิก บานอยู่เป็นนิจ (มีรายละเอียดในบทที่ 2) นั่นหมายความว่า การพัฒนาเศรษฐกิจต้องมุ่งไปที่การ ให้สมาชิกทุกคนในสังคมเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายซึ่งได้แก่ ปัจจัยสี่ พร้อมกับสนับสนุนให้เกิดกิจกรรมด้านสังคมที่นาไปสู่ความรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงทางจิตใจ 1 รายละเอียดเกี่ยวกับความคิดเห็นของชาวอเมริกันมีอยู่ในหนังสือชื่อ The Chaos Point: The World at the Crossroads ของ Ervin Laszlo ซึ่งมีบทคัดย่อเป็นภาษาไทยอยู่ในหนังสือชื่อ กะลาภิวัตน์ (สานักพิมพ์โอ้พระ เจ้า, 2550)
  • 9. โดยธรรมชาติคนเราต้องการอิสรภาพและเสรีภาพ นอกจากนั้นเราเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ เดียวที่มีการแลกเปลี่ยนสิ่งของ บริการและแรงงานกันด้วยความสมัครใจ ลักษณะตามธรรมชาติ เหล่านี้คือปัจจัยที่ทาให้เศรษฐกิจระบบตลาดเสรีมีความยั่งยืนมาเป็นเวลานาน และจะยั่งยืนต่อไป หากถูกปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ในปัจจุบันนี้สภาพแวดล้อมได้เปลี่ยนไปอย่างมี นัยสาคัญ นั่นคือ จานวนประชากรโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกิน 6.7 พันล้านคนแล้วในขณะที่ ทรัพยากรธรรมชาติลดลงทุกวัน การแย่งชิงกันจึงเกิดขึ้นจนนาไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจและการเมืองซึ่ง รวมทั้งสงครามระหว่างประเทศเพราะทุกคนพยายามบริโภคเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด2 การ แก้ปัญหาจาเป็นต้องมาจากการจากัดทั้งจานวนประชากรและการบริโภคที่เกินความจาเป็นซึ่งอาจ เกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของผู้ใช้ทรัพยากรเอง หรือด้วยแรงจูงใจในรูปต่าง ๆ ที่สังคมจะนามาใช้ ในกรอบของระบบตลาดเสรี เช่น การเก็บภาษี การกระจายงบประมาณและการใช้กฎเกณฑ์อื่น ๆ ตามความเหมาะสม ระบบตลาดเสรีมีหลักเบื้องต้นอยู่ที่ภาคเอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยสาหรับใช้ในการผลิต สินค้าและบริการ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน แรงงาน ร้านค้า หรือเงินทุน และเอกชนมีเสรีภาพในการทา กิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น จะผลิตอะไร อย่างไร เพื่อใคร จะบริโภคอะไร เท่าไร และจะค้าขายกับ ใคร อย่างไร การทากิจกรรมเหล่านี้มีการแข่งขันและการร่วมมือกันเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เนื่องจากสังคมมีจุดมุ่งหมายให้สมาชิกอยู่ร่วมกันโดยสันติสุข จึงมีการสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมาว่า อะไรจะทาให้บรรลุจุดมุ่งหมายนั้นรวมทั้งกฎเกณฑ์ด้านเศรษฐกิจด้วย ในการสร้างและบังคับใช้ กฎเกณฑ์เหล่านั้น โดยทั่วไปสมาชิกในสังคมคัดเลือกพนักงานรัฐขึ้นมาเป็นผู้ดาเนินงาน ประสบการณ์อันยาวนานบ่งว่า รัฐต้องเข้าไปมีบทบาทในตลาดบ้างในบางกรณีเพื่อช่วย ให้ระบบตลาดเสรีทางานอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุจุดมุ่งหมาย เช่น รัฐอาจเข้าไปเป็นเจ้าของ กิจการบางอย่าง โดยเฉพาะกิจการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและมีลักษณะของการผูกขาด โดยธรรมชาติในตัวของมันเอง ในปัจจุบันการสร้างปัจจัยพื้นฐานจาพวกโรงไฟฟ้ า ระบบประปา ท่าเรือ สนามบินและระบบขนส่งมักตกเป็นหน้าที่ของรัฐ ในขณะเดียวกันรัฐบาลอาจส่งเสริม กิจการบางอย่างเป็นพิเศษเพื่อให้เกิดสิ่งที่สังคมปรารถนาพร้อมกับห้ามเอกชนทากิจการบางอย่าง ซึ่งอาจนาไปสู่การทาลายสภาพแวดล้อมและคุณธรรมของสังคม ฉะนั้น ระบบตลาดเสรีที่เหมาะสมจึงเป็นแบบผสมที่มีรัฐเข้าไปมีบทบาทในตลาดตาม ความจาเป็นซึ่งเป็นระบบที่สังคมโลกใช้มาเป็นเวลานาน ในบางสังคมบทบาทของรัฐถูกนาไปใช้ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้พนักงานรัฐเองและพวกพ้อง ยังผลให้ระบบตลาดเสรีมีความไม่เป็นธรรมสูงจน 2 หนังสือที่สาธยายผลกระทบของจานวนประชากรและการบริโภคของสังคมในอดีตไว้อย่างละเอียดได้แก่ One with Nineveh: Politics, Consumption, and the Human Future ของ Paul Ehrlich และ Anne Ehrlich (Island Press, 2005) ซึ่งมีบทคัดย่อเป็นภาษาไทยอยู่ในหนังสือชื่อ ธาตุ 4 พิโรธ (สานักพิมพ์มติชน, 2551)
  • 10. การพัฒนาต้องล้มลุกคลุกคลาน สาหรับเมืองไทยในอนาคต เนื่องจากการเมืองใหม่จะไม่ยอมให้ผู้ ที่มีความฉ้อฉลเข้ามาบริหารประเทศอีก บทบาทของข้าราชการและพนักงานของรัฐย่อมเปลี่ยน ไปสู่การเป็นผู้รักษากฎเกณฑ์ของสังคมและตลาดเสรีอย่างเคร่งครัดโดยปราศจากผลประโยชน์ทับ ซ้อน จากมุมมองของปัจจัยสี่ เมืองไทยมีศักยภาพในการผลิตอาหาร เสื้อผ้าและที่อยู่อาศัยได้ อย่างเพียงพอต่อความต้องการ เครื่องมือทางการแพทย์ชนิดก้าวหน้าและยารักษาโรคบางอย่าง เท่านั้นที่เราไม่สามารถผลิตได้อย่างเพียงพอ นอกจากนั้นเราขาดปัจจัยหลายอย่างสาหรับผลิต สินค้าและบริการยุคใหม่ เช่น เครื่องจักรและน้ามันเชื้อเพลิง นั่นหมายความว่า เศรษฐกิจแนวใหม่ ต้องมีการค้าขายกับต่างประเทศเป็นองค์ประกอบสาคัญด้วย โดยทั่วไปเศรษฐกิจแนวใหม่จึงไม่แตกต่างมากนักกับระบบตลาดเสรีซึ่งเป็นที่รู้จักกันใน ปัจจุบันนี้แล้ว นั่นคือ เป็นตลาดเสรีที่มีส่วนประกอบของระบบสังคมนิยมผสมอยู่บ้างโดย ภาคเอกชนยังเป็นหัวจักรใหญ่ในการขับเคลื่อนผ่านการมีเสรีภาพในการผลิตและการซื้อขายใน ระบบตลาดในขณะที่รัฐเข้าไปมีบทบาทในตลาดตามความจาเป็น การซื้อขายอาจเกิดขึ้นทั้งใน และนอกประเทศ ความแตกต่างระหว่างเศรษฐกิจแนวเก่ากับเศรษฐกิจแนวใหม่ได้แก่ เศรษฐกิจ แนวใหม่ไม่มุ่งเน้นการใช้การบริโภคแบบเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจ ขยายตัว หากมุ่งเน้นการเข้าถึงปัจจัยเบื้องต้นอย่างเพียงพอต่อร่างกายพร้อมกับสนับสนุนให้เกิด ความรู้สึกอบอุ่นและมั่นคงทางจิตใจของสมาชิกทุกคนในสังคม หัวใจของเศรษฐกิจแนวใหม่ ซึ่ง อาจเรียกว่าเศรษฐกิจหลังยุคบริโภคนิยม จึงอยู่ที่การจากัดการบริโภคเกินความจาเป็น การจากัด นั้นอาจเกิดขึ้นโดยความสมัครใจของผู้ใช้ทรัพยากรเอง หรือจากแรงจูงใจซึ่งนโยบายของรัฐกระตุ้น ให้เกิดก็ได้
  • 11. 2 เป้ าหมายของชีวิต บทที่ 1 พูดถึงหัวใจของเศรษฐกิจแนวใหม่ว่าได้แก่การจากัดการบริโภคเกินความจาเป็น บทนี้จะพูดถึงความสุขกายสบายใจอันเป็นเป้ าหมายหลักของชีวิต เท่าที่ผ่านมา การพัฒนาเศรษฐกิจวางอยู่ฐานของสมมุติฐานที่ว่า ความสุขกายสบายใจ เกิดจากการได้บริโภคสินค้าและบริการตามความต้องการของร่างกาย การพัฒนาเศรษฐกิจจึงมุ่ง ขยายการผลิตสิ่งเหล่านั้นในอัตราสูงสุดอย่างต่อเนื่อง หลังจากเวลาผ่านไปและผู้คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาจนก้าวหน้ามากเข้าถึงสินค้าและบริการตามที่ร่างกายต้องการ ครบถ้วนแล้ว พวกเขากลับไม่มีความสุขกายสบายใจตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ในตอนต้น ในช่วง หลายทศวรรษมานี้จึงมีการวิจัยเพื่อค้นหาสาเหตุ ยังผลให้เกิดหนังสือเกี่ยวกับการแยกทางกันเดิน ระหว่างการมีเงินกับการมีความสุขหลังคนเรามีทุกอย่างตามความต้องการของร่างกายแล้วอย่าง น้อย 3 เล่มคือ The Progress Paradox: How Life Gets Better While We People Feel Worse ของ Gregg Easterbrook พิมพ์เมื่อปี 2546 The Paradox of Choice: Why More Is Less ของ Barry Schwartz พิมพ์เมื่อปี 2547 และ Happiness: Lessons from a New Science ของ Richard Layard พิมพ์เมื่อปี 2548 และได้รับการแปลเป็นไทยแล้ว3 ล่าสุดนักวิจัยในอังกฤษกลุ่มหนึ่งได้พยายามค้นคว้าหาสาเหตุที่ลึกลงไปอีกพร้อมกับหา หนทางสาหรับสร้างนโยบายด้านความสุขกายสบายใจจนได้ข้อสรุปพิมพ์ออกมาเมื่อปลายเดือน ตุลาคม 2551 โดยมูลนิธิเศรษฐกิจใหม่ (New Economics Foundation) ข้อสรุปนั้นน่าจะเป็นฐาน ของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแนวใหม่ได้เป็นอย่างดี นั่นคือ หลังจากคนเรามีทุกอย่างตามที่ร่างกาย ต้องการเพื่อสนองความจาเป็นเบื้องแล้ว ปัจจัยที่ทาให้เกิดความสุขกายสบายใจอาจแยกได้เป็น 7 ด้านซึ่งแต่ละคนมีบทบาทสาคัญในการทาให้เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ในขณะเดียวกันองค์กรเอกชนและ รัฐก็มีบทบาทสาคัญในการสนับสนุนให้เกิดขึ้นด้วย ด้านแรกได้แก่การมีสัมพันธ์อันดีกับคนรอบข้าง เริ่มจากในครอบครัวแล้วขยายออกไปถึง หมู่ญาติ เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงานและเพื่อนทั่วไปในชุมชน ความสัมพันธ์อันดีเป็นฐานของการมี ชีวิตอันอบอุ่นและมั่นคงสาหรับคนทุกรุ่นทุกวัยพร้อมกับเป็นเกราะกาบังสาคัญที่จะป้ องกันมิให้ เกิดปัญหาทางจิต เช่น ความหงอยเหงา ซึมเศร้าและว้าเหว่ 3 เรื่อง The Progress Paradox และเรื่อง Happiness มีบทคัดย่อเป็นภาษาไทยอยู่ในหนังสือชื่อ กะลาภิวัตน์ (สานักพิมพ์โอ้พระเจ้า, 2550) ส่วนเรื่อง Paradox of Choice มีคาวิพากษ์อยู่ในบทที่ 42 ของหนังสือชื่อ เลียนแบบรุ่ง ลอกแบบล่ม (สานักพิมพ์โอ้พระเจ้า, 2548)
  • 12. ด้านที่สองได้แก่การมีความเคลื่อนไหวอยู่เป็นนิจ จากการออกกาลังกายอย่างเข้มข้น จาพวกเล่นกีฬา วิ่ง ขี่จักรยานและว่ายน้า ไปจนถึงการเคลื่อนไหวง่าย ๆ จาพวก เดิน เต้นราและ ทาสวนครัว การเคลื่อนไหวมีความสาคัญทั้งในด้านการออกกาลังกายและในด้านลดความ กระสับกระส่ายของคนทุกรุ่น นอกจากนั้นการศึกษายังพบว่าการออกกาลังกายอยู่เป็นนิจช่วย เสริมสร้างพลังทางสมองของเด็กและป้ องกันการถดถอยทางสมองของผู้สูงวัยอีกด้วย ด้านที่สามได้แก่การมีความช่างสังเกตซึ่งรวมทั้งการมองเห็นความเป็นไปภายนอก เช่น การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล การแต่งกายของฝูงชนตามศูนย์การค้า สีหน้าของผู้ที่อยู่รอบข้าง และ การตระหนักถึงความรู้สึกภายในจิตใจของตนเอง การศึกษาพบว่าการฝึกให้มีความช่างสังเกต ได้ผลดีในด้านการสร้างความสุขกายสบายใจทั้งในผู้ใหญ่และในระดับเด็กนักเรียน การศึกษานี้ อ้างถึงผลของการปฏิบัติจาพวกวิปัสสนาของสังคมในโลกตะวันออกที่มุ่งฝึกให้ผู้ปฏิบัติมี สติสัมปชัญญะซึ่งเป็นปัจจัยของการทาให้เกิดความสุขด้วย ยิ่งกว่านั้นการมีสติสัมปชัญญะยังเป็น ปัจจัยที่ทาให้บุคคลเลือกกระทาในสิ่งที่ตรงกับฐานการดาเนินชีวิตของตนเองมากขึ้น การเลือกทา ได้เช่นนั้นเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความสุขได้อีกส่วนหนึ่ง ด้านที่สี่ได้แก่การเรียนรู้อยู่เป็นนิจ ในวัยเด็ก การเรียนรู้มีความสาคัญต่อการพัฒนาด้าน มันสมองและด้านสังคม ในวัยผู้ใหญ่การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ก่อให้เกิดความเชื่อมั่น การสร้าง ความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นและการทาให้มีความเคลื่อนไหวอยู่เป็นนิจ การเรียนรู้ในวัยผู้ใหญ่อาจ ทาได้หลากหลายแบบ เช่น การรื้อฟื้นสิ่งที่เคยมีความสนใจครั้งในอดีต การลงทะเบียนเรียนวิชา ใหม่ ๆ ทั้งในสถานศึกษาและผ่านทางอินเทอร์เน็ต การฝึกเล่นเครื่องดนตรีที่ไม่เคยเล่นมาก่อน การ ทาตุ๊กตาและการตัดเย็บเสื้อผ้าใส่เอง ด้านที่ห้าได้แก่การให้ซึ่งมีขอบเขตกว้างมาก จากการส่งยิ้มให้คนอยู่ใกล้ ๆ ไปจนถึงการ กล่าวคาขอบคุณ การให้ทาน การแบ่งปัน การช่วยเหลือผู้อยู่รอบข้าง การสละเวลาออกไป อาสาสมัครช่วยงานในชุมชนและการทดแทนคุณแผ่นดิน กิจกรรมเหล่านี้ทาให้ผู้ทารู้สึกว่าตนเอง มีค่าและชีวิตมีความหมายซึ่งเป็นปัจจัยที่ทาให้เกิดความสุขและมีอายุยืนยาวขึ้น ด้านที่หกได้แก่อาหารซึ่งต้องมีทั้งความพอประมาณและความสมดุล มิใช่การรับประทาน ในปริมาณมากแต่ขาดความสมดุลซึ่งเป็นปัจจัยที่นาไปสู่การขาดธาตุอาหารและการเกิดโรคต่าง ๆ จากการมีน้าหนักตัวเกินพอดี ด้านที่เจ็ดได้แก่การอยู่ใกล้กับธรรมชาติ การวิจัยพบว่าผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติรอบ ด้านมีความสุขกายสบายใจมากกว่าผู้ที่อยู่ไกลธรรมชาติ ปัจจัยเหล่านี้น่าจะชี้ให้เห็นความสาคัญของการศึกษาทั้งในและนอกสถาบันซึ่งจะพูดถึง ในบทต่อไป ตอนนี้ขอเกริ่นเพียงว่าสาหรับการศึกษาในสถาบัน นอกจากเนื้อหาตามหลักสูตรแล้ว ปัจจัยต่าง ๆ ที่เพิ่งอ้างถึงนี้ยังชี้ให้เห็นความสาคัญของการมีพื้นที่สีเขียวและสนามกีฬาในบริเวณ
  • 13. สถาบันการศึกษาอีกด้วย สาหรับการศึกษานอกสถาบัน ความสาคัญของการมีศูนย์การศึกษา และข่าวสารข้อมูลของชุมชน การฝึกวิปัสสนาเพื่อสร้างสติสัมปชัญญะและการมีพื้นที่สีเขียวย่อม เป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัด ในกระบวนการนี้วัดจะมีบทบาทสูงมากหากผู้นาฝ่ายศาสนามีความ ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะขับเคลื่อนให้เกิดขึ้น
  • 14. 3 บทบาทของการศึกษา บทที่ 1 พูดถึงหัวใจของเศรษฐกิจแนวใหม่ว่าได้แก่การจากัดการบริโภคเกินความจาเป็น และการจากัดอาจเกิดจากความสมัครใจของผู้ใช้ทรัพยากรเอง หรือ จากแรงจูงใจที่นโยบายของรัฐ กระตุ้นให้เกิดก็ได้ บทนี้จะพูดถึงด้านความสมัครใจของผู้ใช้ทรัพยากรเอง ข้อเสนอต่อไปนี้วางอยู่บนสัจพจน์ที่ว่า ผู้บริโภคต้องมีโอกาสสัมผัสกับองค์ความรู้ หลากหลายที่จะสร้างความมั่นใจในความถูกต้องของพฤติกรรมด้านการบริโภคของเขา เช่น เขา ต้องรู้ว่า ร่างกายต้องการอาหารชนิดใดบ้างและอาหารแต่ละอย่างมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างไร พร้อมกันนั้นเขาควรรู้ด้วยว่า การเลือกรับประทานอาหารต่างชนิดที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ใกล้เคียงกันมีผลกระทบต่อโลกรอบด้านต่างกันมากหากชนิดหนึ่งนาเข้าจากประเทศห่างไกลใน ขณะที่อีกชนิดหนึ่งผลิตได้ในท้องถิ่นของเขาเอง ทั้งนี้เพราะการใช้พลังงานในการขนส่งอาหารสอง อย่างนั้นแตกต่างกันมากและการใช้พลังงานเป็นปัจจัยที่ทาให้เกิดภาวะโลกร้อน ยิ่งกว่านั้นเขา ควรเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโทษของการบริโภคเกินพอดีและการบริโภคสิ่งที่ขาดคุณค่าทาง โภชนาการด้วย เช่น โรคต่าง ๆ ซึ่งแฝงมากับอาหารและความอ้วน ตัวอย่างที่อ้างถึงเหล่านี้บ่งชี้ถึงความสาคัญของการศึกษาซึ่งหมายความว่า ระบบ การศึกษาและหลักสูตรจะต้องได้รับการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจหลังยุคบริโภคนิยม ด้วย การปรับเปลี่ยนอาจเริ่มจากข้อคิดดังต่อไปนี้ ในด้านการศึกษาในสถาบัน ปัญหาพื้นฐานในขณะนี้อยู่ที่ผู้เรียนจบระดับต่าง ๆ ในอัตรา สูงขาดความสามารถตามเป้ าหมายของการศึกษาในระดับนั้น ๆ เช่น ผู้เรียนจบชั้นประถม 6 ไม่ สามารถอ่านภาษาไทยได้อย่างแตกฉาน หรือผู้เรียนจบปริญญาตรีขาดทั้งทักษะทางวิชาการที่จะ นาไปประกอบอาชีพ และทางการใช้เครื่องมือและกลวิธีที่จะแสวงหาความรู้ต่อไปด้วยตัวเอง การ มีปริญญาจึงกลายเป็นการสนองค่านิยมและเป็นส่วนหนึ่งของการบริโภคที่ขับเคลื่อนให้ธุรกิจ การศึกษาขยายตัวเกินความจาเป็น การแก้ปัญหาน่าจะเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว นั่นคือ ต้องมีการ วัดความสาฤทธิ์ผลกันอย่างจริงจังพร้อมกับมุ่งเน้นความเป็นเลิศมากกว่าเท่าที่เป็นอยู่ซึ่ง ผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษารู้ว่าจะทาอย่างไร ในปัจจุบันนี้สถานศึกษาอ้างถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกันอย่างกว้างขวาง การ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเข้าสู่แนวใหม่จะทาได้ไม่ยากหากครูบาอาจารย์เข้าใจและน้อมนาหลัก เศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติในชีวิตประจาวันของตนอยู่แล้ว ทั้งนี้เพราะการเห็นต้นแบบอยู่ทุกวัน เป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพสูงยิ่ง แต่ประเด็นเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงในขณะนี้มีความคล้าย กับการรับศีลห้าเป็นภาษาบาลี นั่นคือ ผู้รับมักท่องได้ หรือไม่ก็พูดไปตามพระแบบนกแก้ว
  • 15. นกขุนทองโดยปราศจากความเข้าใจอย่างถูกต้องและไม่นาไปปฏิบัติในชีวิตประจาวัน ที่เป็น เช่นนั้นส่วนหนึ่งคงเพราะการนาเสนอเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมักพูดถึงองค์ประกอบของแนวคิดโดย ไม่ได้กล่าวถึงฐานทางวิทยาศาสตร์และการปฏิบัติจนได้ผลในระดับชุมชนมาแล้ว ฐานทาง วิทยาศาสตร์ที่ถูกอ้างถึงมักจากัดอยู่ที่การทดลองของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับ เกษตรกรรมตามทฤษฎีใหม่ซึ่งได้แก่การทาไร่ ทาสวนและทานาผสมผสานกับการเลี้ยงปลาและ เลี้ยงสัตว์ แต่นั่นเป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น ส่วนการวิจัยเรื่องความสุขและผลกระทบที่การบริโภค เกินพอดีมีต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นฐานสาคัญยิ่งของเศรษฐกิจพอเพียงยังไม่มีการ กล่าวถึง นอกจากนั้นยังไม่มีการกล่าวถึงชุมชนที่ดาเนินชีวิตตามแนวคิดคล้ายกับหลักเศรษฐกิจ พอเพียงมาเป็นเวลากว่า 300 ปีแล้วอีกด้วย ด้วยเหตุเหล่านี้การขับเคลื่อนให้เกิดเศรษฐกิจแนวใหม่ในสถานศึกษาต้องเริ่มด้วยการ อบรมครูบาอาจารย์ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงพร้อมกับฐานทาง วิทยาศาสตร์และการปฏิบัติซึ่งได้ผลในระดับชุมชนมาแล้ว ในปัจจุบันนี้มีการนาผลการวิจัย เกี่ยวกับความสุข การบริโภคและการใช้ทรัพยากรมาพิมพ์ไว้ในหนังสือหลายต่อหลายเล่มดังที่ กล่าวถึงในบทที่ 2 พร้อมทั้งเรื่อง An Inconvenient Truth ของอดีตรองประธานาธิบดีอเมริกัน Al Gore ซึ่งมีบทคัดย่อเป็นภาษาไทยอยู่ในหนังสือชื่อ กะลาภิวัตน์ และอีกหลายเล่มซึ่งมีบทคัดย่อ อยู่ในเรื่อง ธาตุ 4 พิโรธ สาหรับการดาเนินชีวิตตามแนวคิดคล้ายหลักเศรษฐกิจพอเพียงมีอยู่ใน หนังสือหลายเล่มเช่นกัน รวมทั้งหนังสือภาษาไทยที่เล่าเรื่องราวของชาว “อามิช” ชื่อ อเมริกาที่ยัง ใช้ม้าเทียมไถ ด้วย4 ชาว “อามิช” ดาเนินชีวิตแบบเรียบง่ายโดยไม่ใช้เครื่องจักรกลสมัยใหม่และ ไม่ใช้แม้กระทั่งไฟฟ้ า เนื่องจากองค์กรของรัฐและเอกชนมีศักยภาพสูงพอที่จะทาหลักสูตรและการ อบรมอยู่แล้ว ฉะนั้น การรวมเรื่องเศรษฐกิจแนวใหม่เข้าไปจึงทาได้ทันทีเมื่อมีสัญญาณจาก ผู้บริหารประเทศ เป็นที่ทราบกันดีว่า การเรียนรู้ในกรอบของสถาบันแม้จะมีความสาคัญยิ่ง แต่ก็ยังไม่ สาคัญเท่าการเรียนรู้จากนอกสถาบัน ทั้งนี้เพราะการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและในอายุขัยกว่า 70 ปีของคนเรานั้น เราใช้เวลาอยู่นอกสถาบันการศึกษามากกว่าในสถาบันหลายเท่า ในด้าน การศึกษานอกสถาบัน อุปสรรคใหญ่อยู่ที่คนไทยโดยทั่วไปไม่นิยมอ่านหนังสือและไม่เป็นผู้ใฝ่รู้อยู่ 4 ผู้มีความแตกฉานในภาษาอังกฤษและสนใจเกี่ยวกับชาว “อามิช” อาจไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งอ่านสนุกมาก เขียนโดย Eric Brende นักศึกษาปริญญาโทของสถาบันเทคโนโลยีแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์หลังจากได้ไปใช้ชีวิตอยู่ ในหมู่บ้านชาว “อามิช” เป็นเวลา 18 เดือนชื่อ Better Off: Flipping the Switch on Technology (Harper Perennial, 2004) หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจได้นาบทคัดย่อเป็นภาษาไทยมาตีพิมพ์ไว้ในคอลัมน์ “ผ่า มันสมองของปราชญ์” ระหว่างวันที่ 11-21 กุมภาพันธ์ 2551 หากไม่สามารถค้นหาหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวได้ แต่ยังสนใจอ่าน อาจส่งอีเมล์ไปขอต้นฉบับจาก ดร. ไสว บุญมา ที่ sboonma@msn.com
  • 16. ตลอดเวลา อย่างไรก็ดีในปัจจุบันนี้แนวคิดเรื่องการเรียนรู้ตลอดชีวิตได้รับการยอมรับอย่าง กว้างขวาง มีองค์กรเอกชนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมการศึกษาทั้งในและนอกสถาบัน และ รัฐบาลก็สนับสนุนองค์กรเหล่านั้นด้วยการยกเว้นภาษีให้ เราจึงมีองค์กรต่าง ๆ อยู่ในสังคมอย่าง ทั่วถึง ลาดับต่อไปจึงเป็นการปรับใช้องค์กรเหล่านั้นให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยมุ่งไปที่การรวม องค์ความรู้ในกรอบของเศรษฐกิจแนวใหม่เข้าไปด้วย เรามีสานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กระจัด กระจายอยู่ทั่วประเทศ ประเด็นจึงอยู่ที่การขับเคลื่อนให้องค์กรนี้มีพลวัตสูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน ยิ่งกว่านั้นเรามีสถาบันทางศาสนาซึ่งเคยเป็นศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนมาแต่เก่าก่อน โดยเฉพาะ วัดพุทธศาสนาที่มีอยู่เกินกว่า 30,000 แห่ง พุทธศาสนาสอนเรื่องหลักของการเดินสายกลางอยู่ แล้ว ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าในการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจแนวใหม่ จะทาอย่างไรวัดจึงจะกลับมามี บทบาทสูงอีกครั้ง ผู้นาทางศาสนาย่อมตระหนักดีแล้วว่า ศาสดาอุบัติขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาของโลก เมื่อการบริโภคเกินความจาเป็นคือต้นตอของปัญหา องค์กรของผู้เดินตามรอยศาสดาควรเป็นผู้นา ในการกาจัดปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม มิใช่หลงติดอยู่แค่พิธีกรรม หรือวิ่งตามกระแสโลกเสียเอง ในทานองเดียวกันกับการอบรมครูบาอาจารย์ของสถาบันการศึกษาให้เข้าใจในเศรษฐกิจ แนวใหม่เพื่อนาไปสู่การขับเคลื่อนให้เกิดขึ้น ควรมีโครงการด้านการศึกษาของพระเพื่อจะปูฐานให้ ท่านมีบทบาทเพิ่มขึ้นด้วย พระในที่นี้เป็นผู้ที่บวชเป็นเวลานานซึ่งควรจะแตกฉานทั้งในด้าน หลักธรรมและในด้านวิวัฒนาการของโลก ทั้งนี้เพราะท่านจะเป็นผู้นาในทางธรรมได้ยากหากท่าน ไม่เข้าใจในวิวัฒนาการของทางโลกด้วย ในปัจจุบันนี้มีบางวัดพยายามส่งเสริมให้พระศึกษาวิชา ของทางโลกอย่างจริงจัง แต่ก็ยังเป็นแบบต่างคนต่างทาตามแนวคิดของผู้ขับเคลื่อน ในการพัฒนา ประเทศตามเศรษฐกิจแนวใหม่ พระที่บวชเป็นเวลานานควรได้รับการศึกษาทั้งทางธรรมและทาง โลกอย่างเป็นระบบโดยเฉพาะพระที่จะรับตาแหน่งต่าง ๆ ทางศาสนาเนื่องจากท่านจะต้องทา หน้าที่ผู้นาซึ่งควรมีความสามารถในการอธิบายหลักธรรมในบริบทของวิวัฒนาการทางโลกรวมทั้ง ฐานความคิดของเศรษฐกิจแนวใหม่ได้เป็นอย่างดี ผู้นาทางศาสนาและผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษา คงใช้เวลาไม่นานในการที่จะร่วมกันสร้างระบบการศึกษาของพระดังกล่าวเนื่องจากทั้งสถานที่ องค์ความรู้ ผู้เชี่ยวชาญและสื่อสาหรับการเรียนรู้มีอยู่โดยทั่วไปแล้ว ดังที่กล่าวถึงในบทที่ 2 ปัจจัยที่ทาให้บุคคลมีความสุขหลังจากมีปัจจัยเบื้องต้นเพียงพอต่อ ความจาเป็นของร่างกายได้แก่กิจกรรมที่ทาให้ร่างกายเคลื่อนไหวและจิตใจเบิกบานอยู่เป็นนิจ การเคลื่อนไหวรวมทั้งการใช้มันสมองด้วย ในปัจจุบันนี้มีวัดจานวนหนึ่งซึ่งส่งเสริมกิจกรรมจาพวก ศึกษาและปฏิบัติตามหลักธรรมอยู่แล้ว แต่ก็อยู่ในรูปของต่างคนต่างทาโดยปราศจากการ ขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบซึ่งมีผู้เสนอไว้แล้วตามแนวคิดที่มีคาย่อว่า “บวร” นั่นคือ การสนธิกัน อย่างจริงจังระหว่าง “บ้าน” “วัด” และ “โรงเรียน” การสนธิกันคงทาได้ในหลากหลายแนวตาม
  • 17. ความเหมาะสมของแต่ละท้องถิ่นเมื่อผู้นาของฝ่ายศาสนาและของฝ่ายรัฐพร้อมใจกันผลักดันให้ เกิดขึ้น แก่นของการสนธิกันควรเป็นด้านการศึกษาโดยการทาให้วัดเป็นศูนย์ข่าวสารและการ เรียนรู้ตามอัธยาศัยของหมู่บ้านในย่านรอบ ๆ วัด บางวัดอาจมีพื้นที่สีเขียวและสนามเด็กเล่นหาก สถานที่อานวย สาหรับวัดในเมืองซึ่งทั้งพระและชุมชนรอบวัดมีการศึกษาสูงและเข้าถึงข่าวสารข้อมูล อย่างกว้างขวางอยู่แล้ว วัดอาจเป็นเพียงศูนย์การเรียนและการปฏิบัติธรรมตามอัธยาศัยของ ผู้สนใจและพระที่มีความเชี่ยวชาญในบางด้านอาจเป็นวิทยากรให้แก่วัดในชนบท เพื่อให้กิจกรรม ดาเนินไปในบรรยากาศที่ปราศจากกิจกรรมจาพวกสนับสนุนการบริโภค ไม่ควรใช้บริเวณวัดสร้าง ร้านค้าถาวรหรือลานจอดรถ ส่วนวัดในชนบทอาจจัดเพียงมุมสาหรับอ่านหนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสารรายสัปดาห์และวารสารวิชาชีพของชุมชนรอบด้าน วัดส่วนใหญ่น่าจะทาได้มากกว่านั้น จนอาจถึงขั้นมีห้องสมุด แหล่งข่าวสารผ่านระบบอินเทอร์เน็ตและศูนย์การเรียนรู้ทางไกล สาหรับค่าใช้จ่าย ฝ่ายรัฐควรจัดงบประมาณให้ส่วนหนึ่งและวัดควรเรี่ยไรจากผู้มีใจศรัทธา หรือจากการทอดผ้าป่าเพื่อนามาสบทบอีกส่วนหนึ่ง การเรี่ยไรและทอดผ้าป่าเพื่อหาปัจจัยมา สนับสนุนศูนย์ข่าวสารข้อมูลและการเรียนรู้ในวัดอาจเป็นของแปลกสาหรับผู้ที่มีความคุ้นเคย เฉพาะกับด้านของการสร้างถาวรวัตถุ แต่ถ้าฝ่ายผู้นาทางศาสนามีความเข้าใจและศรัทธาในหลัก เศรษฐกิจแนวใหม่จริง ๆ โอกาสที่จะชักนาให้ประชาชนคล้อยตามย่อมมีความเป็นไปได้สูง ยิ่งถ้า ผู้นาทางศาสนาปฏิบัติตนเป็นต้นแบบโดยการจากัดการบริโภคของตนเองและขับเคลื่อนการศึกษา ของพระพร้อมกับบริจาคปัจจัยที่ได้รับมาส่วนหนึ่งให้กับกิจกรรมซึ่งจะทาให้วัดเป็นศูนย์ดังกล่าว อย่างสม่าเสมอด้วยแล้ว การเรี่ยไรจะได้ผลสูงขึ้นอีก พูดถึงด้านวัตถุ แนวโน้มในวงการศาสนาเป็นไปในทางเดียวกันกับกระแสโลกซึ่งมีการ บริโภคเป็นตัวขับเคลื่อนมาเป็นเวลานาน วัดจึงมักผลักดันให้เกิดการก่อสร้างศาสนสถานจาพวก อาคารใหญ่โตจนเกินความจาเป็นสาหรับประกอบศาสนกิจพร้อมทั้งเป็นผู้ร่วมประกอบพิธีกรรม จาพวกฟุ้ งเฟ้ อต่าง ๆ การก่อสร้างเกินความจาเป็นควรถูกจากัดและผู้นาทางศาสนาควรเป็นผู้ชี้นา ในด้านการจากัดพิธีกรรมจาพวกฟุ้ งเฟ้ อเพราะมันตรงข้ามกับคาสอนของศาสนาอยู่แล้ว นอกจากนั้นการสร้างรูปปั้นของพระสงฆ์และขององค์ศาสดาและวัตถุมงคลซึ่งมีลักษณะของการ บริโภคเกินความจาเป็นก็ควรถูกจากัดด้วย ผู้นาทางศาสนาควรชักจูงให้ผู้สร้างหันมาสนับสนุน การศึกษาซึ่งเป็นการให้ทานทางปัญญาอันเป็นทานอันประเสริฐยิ่ง สาหรับทางฝ่ายรัฐบาล เมื่อ การสร้างสิ่งเหล่านั้นเป็นการบริโภคเกินความจาเป็น รัฐก็ควรจัดเก็บภาษีตามอัตราที่เหมาะสม ด้วย ในยุคนี้การเรียนรู้นอกกรอบสถาบันการศึกษาที่สาคัญยิ่งเกิดขึ้นผ่านรายการโทรทัศน์ซึ่ง เป็นสื่อที่ได้รับความนิยมสูงมาก ฉะนั้น รัฐและองค์กรเอกชนจาเป็นที่จะต้องเน้นการใช้โทรทัศน์
  • 18. เป็นพิเศษ รัฐต้องมีโทรทัศน์ที่ปราศจากการโฆษณาไว้สาหรับเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลที่มีประโยชน์ อย่างทั่วถึง การเผยแพร่ข่าวสารข้อมูลด้านเศรษฐกิจแนวใหม่ควรใช้ผู้ที่ประชาชนให้ความสนใจสูง เป็นผู้นาเสนอ ซึ่งอาจรวมทั้งดารายอดนิยม ขวัญใจวัยรุ่น นักกีฬาชั้นนาและพระนักเทศน์ นอกจากนั้นยังต้องมีการห้าม หรือจากัดเวลา การโฆษณาจาพวกที่จะกระตุ้นให้เกิดการบริโภค สินค้าและบริการที่ไม่มีความจาเป็นต่อการดาเนินชีวิตอีกด้วย
  • 19. 4 พลังของระบบภาษี บทที่ 1 อ้างถึงหัวใจของเศรษฐกิจใหม่ว่าได้แก่การจากัดการบริโภคเกินความจาเป็นและ การจากัดอาจเกิดจากความสมัครใจของผู้ใช้ทรัพยากรเอง หรือ จากแรงจูงใจที่นโยบายของรัฐ กระตุ้นให้เกิดก็ได้ บทนี้จะพูดถึงด้านแรงจูงใจโดยการใช้ระบบภาษีซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังยิ่ง ของระบบตลาดเสรี ตามแนวคิดเศรษฐกิจกระแสหลัก ฐานของการเก็บภาษีมีหลายอย่างด้วยกัน บางอย่าง อ้างถึงการได้รับประโยชน์โดยตรงของผู้เสียภาษี เช่น ภาษีการใช้สนามบินซึ่งเก็บผ่านการซื้อตั๋ว เครื่องบิน บางอย่างอ้างถึงความสามารถในการเสียภาษี เช่น ภาษีเงินได้ที่ใช้อัตราก้าวหน้าตาม ระดับของรายได้ สาหรับเศรษฐกิจแนวใหม่ ฐานของการเก็บภาษีส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปสู่การ จากัดการบริโภคเกินความจาเป็น ส่วนประกอบของระบบภาษีจะมีอะไรบ้างจะกาหนดได้หลังจาก การวิเคราะห์โครงสร้างของการบริโภคอย่างละเอียดแล้ว ตอนนี้จะเสนอข้อคิดบางอย่างเพียง คร่าว ๆ เนื่องจากฐานของการเก็บภาษีอยู่ที่การจากัดการบริโภคเกินความจาเป็น ฉะนั้น สินค้า และบริการส่วนใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มปัจจัยสี่จะเสียภาษีในอัตราต่าสุด หรือ บางอย่างอาจไม่เสียภาษี เลยก็ได้ เช่น อาหารที่อยู่ในหมวดหมู่ที่ร่างกายจาเป็นต้องใช้ทุกวัน แต่อาหารอีกหลายอย่างที่ไม่มี ความจาเป็นต่อร่างกายต้องเสียภาษีในอัตราสูง นอกจากนั้นอาหารที่ต้องนาเข้าจากท้องถิ่น ห่างไกลต้องเสียภาษีในอัตราสูงด้วย ทั้งนี้เพื่อประหยัดการใช้พลังงานสาหรับการขนส่งซึ่งสร้าง ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง จากฐานของการคิดแบบนี้อาหารจาพวกน้าอัดลม นมข้นหวาน เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ไข่ปลาคาร์เวีย เป๋ าฮื้อ หูฉลาม รังนกนางแอ่น ปลาแซลมอน ปูขนและ ผลไม้เมืองหนาวอาจต้องเสียภาษีในอัตราสูงกว่าอัตราที่เสียกันอยู่ในปัจจุบันมาก ๆ นอกจากนั้น อาหารสาเร็จรูปที่รับประทานในภัตตาคารต้องเสียภาษีในอัตราพิเศษด้วย ในหมู่เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าที่ใช้ในชีวิตประจาวันอาจไม่เสียภาษี หรือเสียในระดับต่า ตรงข้ามเครื่องแต่งกายในหมวดหมู่หรูหรา เช่น ผ้าไหม เครื่องประดับจาพวกเพชรนิลจินดา นาฬิกาเรือนทองฝังเพชร ผ้าพันคอและกระเป๋ าหิ้วสตรียี่ห้อกระฉ่อนโลก ต้องเสียภาษีในอัตราสูง หมู่ที่อยู่อาศัยควรใช้อัตราภาษีแบบก้าวหน้าตามราคาหน่วยของที่อยู่ และเครื่องปรับอากาศต้อง เสียภาษีในอัตราสูงกว่าพัดลม ส่วนหมู่ยารักษาโรคซึ่งรวมทั้งอาหารเสริมที่จาเป็นต่อร่างกาย จาพวกวิตามินและเกลือแร่ไม่ควรเสียภาษี อย่างไรก็ดีในหมวดหมู่นี้มีเครื่องมือเกี่ยวกับการเล่น กีฬาและการออกกาลังกายหลากหลายชนิดซึ่งควรเสียภาษีในอัตราที่แตกต่างกัน เช่น รองเท้า
  • 20. สาหรับเดินและวิ่งออกกาลังกาย จักรยานและลูกฟุตบอลอาจเสียภาษีต่า ส่วนเครื่องมือสาหรับ เล่นกอล์ฟและเจตสกีต้องเสียภาษีในอัตราสูง ๆ นอกจากสินค้าและบริการในหมวดหมู่ปัจจัยสี่แล้ว ยังมีสินค้าและบริการอีกมากมายที่ ควรคิดภาษีในแนวเดียวกันด้วย เช่น รถเก๋งควรเก็บภาษีแบบก้าวหน้าตามราคาและแรงม้าของ เครื่องยนต์ นอกจากนั้นควรเก็บภาษีน้ามันสูงกว่าในอัตราปัจจุบันเพื่อลดผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม ส่วนในด้านเครื่องมือเครื่องใช้ซึ่งส่วนใหญ่มีประโยชน์ต่อการเรียนรู้และการทางาน ควรเสียภาษีในอัตราต่า เช่น กระดาษ หนังสือ เครื่องเขียน คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ การเก็บภาษีบริการก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่ค่าบริการเบื้องต้น เช่น การตัดผมและการซัก รีด ไม่ควรเสียภาษี อีกหลายอย่างควรเสียภาษีเช่นเดียวกับค่าอาหารในภัตตาคารต่าง ๆ เช่น การ อาบอบนวด ค่าบริการในโรงแรมและค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว เนื่องจากฐานของการเก็บภาษีอยู่ที่การจากัดการบริโภคเกินความจาเป็น ฉะนั้น การเก็บ ภาษีสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับการบริโภคก็ควรได้รับการพิจารณาใหม่ทั้งหมดด้วย บางอย่างอาจยกเลิก หรือเก็บในอัตราต่า เช่น ภาษีกาไรส่วนทุนอันเกิดจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์และ ภาษีมูลค่าเพิ่มเนื่องจากภาษีเหล่านี้ไม่มีผลต่อการจากัดการบริโภคดังกล่าว อย่างไรก็ตามกิจการ จาพวกต่อยอด เช่น การซื้อขายอนุพันธ์ต่าง ๆ ควรเก็บภาษีให้สูงไว้เนื่องจากกิจการเหล่านี้มี ลักษณะเป็นกาฝากมากกว่าที่จะเอื้อให้เกิดการระดมทุนที่แท้จริงและเป็นกิจกรรมสาคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจรวมทั้งที่กาลังเกิดอยู่ทั่วโลกในระหว่างปี 2551 ด้วย ในขณะเดียวกันก็ อาจไม่เก็บภาษีจากมรดกตกทอด จากการโอนอสังหาริมทรัพย์และจากรายได้ที่เกิดจากดอกเบี้ย เงินฝาก อย่างไรก็ดี ภาษีบางอย่างอาจต้องคงไว้ในระดับหนึ่ง เช่น ภาษีศุลกากร ภาษีที่ดิน ภาษี เงินได้และภาษีธุรกิจ ทั้งนี้เพราะการเก็บภาษีบนฐานใหม่อาจไม่สามารถทาให้รัฐมีรายได้อย่าง เพียงพอ หากการศึกษาพบว่ายังจาเป็นต้องเก็บภาษีเงินได้ ส่วนที่ยกเว้นควรเพิ่มขึ้น เช่น รายได้ ขั้นต่าและส่วนที่บริจาคให้องค์กรเอกชนซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อการกุศล การส่งเสริมความสัมพันธ์อัน ดีในชุมชนและการสนับสนุนการศึกษา ในทานองเดียวกัน ภาษีที่ผู้ประกอบการต่าง ๆ ต้องเสีย อาจมีส่วนยกเว้นมากขึ้น เช่น ในช่วงแรกของการเริ่มก่อตั้งธุรกิจ การลงทุนที่ก่อให้เกิดการจ้างงาน ในท้องถิ่นกันดาร ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาและการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายซึ่งแฝงการบริโภคเกินความจาเป็นไว้ไม่ควรให้นามาใช้หักภาษี เช่น การ พาลูกค้าไปรับประทานอาหารในภัตตาคาร ไปเล่นกอล์ฟและไปเที่ยวตามแหล่งบันเทิงเริงรมย์ เนื่องจากภาษีจะมีพลังในการสร้างแรงจูงใจสูงมากและการเปลี่ยนฐานของการเก็บภาษี จะนาไปสู่การรื้อระบบที่มีอยู่แบบขนานใหญ่ซึ่งจะทาให้มีผู้ได้ผู้เสียอย่างกว้างขวางพร้อมทั้งอาจ กระทบต่อข้อตกลงระหว่างประเทศ ฉะนั้น จึงควรมีการศึกษาอย่างละเอียดและการปรับใช้อาจ
  • 22. 5 การใช้งบประมาณและวินัยการคลัง บทที่ 2 ชี้ให้เห็นว่า เมื่อคนเรามีปัจจัยเพียงพอต่อความต้องการเบื้องต้นของร่างกายแล้ว ความสุขกายสบายใจอันเป็นเป้ าหมายหลักของชีวิตมักเกิดจากการปฏิบัติตนเองเป็นส่วนใหญ่ บทนี้จะพูดถึงการใช้งบประมาณของรัฐซึ่งเป็นเครื่องมือสาคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่จะพา ประชาชนไปสู่เป้ าหมาย ดังที่อ้างถึงในบทที่ 1 เศรษฐกิจแนวใหม่จาเป็นต้องใช้ระบบตลาดเสรีที่รัฐเข้าไปมีบทบาท โดยตรงในบางกรณีเพื่อขับเคลื่อนให้การพัฒนาเป็นไปในทิศทางที่ต้องการ เนื่องจากรัฐบาลไทย ใช้แนวคิดนี้มาเป็นเวลานานรวมทั้งการใช้งบประมาณเพื่อขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาด้วย ฉะนั้น ประเด็นจึงอยู่ที่การปรับงบประมาณให้การพัฒนาเป็นไปในทิศทางของเศรษฐกิจแนวใหม่ เพื่อพาประชาชนไปสู่เป้ าหมายอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ก่อนจะเสนอข้อคิดเพื่อปรับงบประมาณ ขอ พูดถึงความสาคัญของการมีวินัยการคลังว่า เท่าที่ผ่านมารัฐบาลไทยมีวินัยอยู่ในเกณฑ์ดี นั่นคือ ในช่วงที่พยายามเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจมาราว 50 ปี ไม่มีรัฐบาลไหนใช้งบประมาณแบบขาดดุล จนทาให้เศรษฐกิจขาดเสถียรภาพอย่างร้ายแรงเช่นบางประเทศในแถบละตินอเมริกา ในการ ขับเคลื่อนให้เกิดเศรษฐกิจแนวใหม่ รัฐบาลต้องคงไว้ซึ่งวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด เฉกเช่นระบบภาษีซึ่งจะต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดก่อนปรับใช้สาหรับขับเคลื่อน เศรษฐกิจแนวใหม่ การใช้งบประมาณก็ต้องได้รับการศึกษาอย่างละเอียดด้วย อย่างไรก็ตามใน ขณะนี้มีการใช้จ่ายบางด้านที่รัฐบาลสามารถจากัดได้ทันที เริ่มด้วยการตัดทอนโครงการประชา นิยมต่าง ๆ โครงการจาพวกนี้มีลักษณะของยาเสพติดซึ่งทาให้ประเทศที่นามาใช้ประสบปัญหา ร้ายแรงถึงกับล้มละลาย เมืองไทยเพิ่งนามาใช้ไม่ถึง 8 ปี ฉะนั้น รัฐบาลยังมีโอกาสตัดทอนก่อนที่ มันจะทาให้คนไทยเสพติดจนส่งผลให้เมืองไทยล้มละลายเช่นเดียวกับประเทศในแถบละติน อเมริกา5 ตามแนวคิดเบื้องต้น โครงการด้านสุขภาพถ้วนหน้าที่รัฐบาลต้องการให้คนไทยเข้าถึงนั้น เป็นโครงการที่มีความตั้งใจดีและไม่มีความเป็นประชานิยมแฝงอยู่ อย่างไรก็ตามการปฏิบัติ ในช่วงหลัง ๆ นี้มีลักษณะเป็นประชานิยมอย่างแจ้งชัดเพราะรัฐบาลต้องการสร้างความประทับใจ ให้แก่ประชาชนว่า พวกเขากาลังได้ของเปล่าที่รัฐบาลใจดีนามาหยิบยื่นให้ การกระทาเช่นนั้นเป็น การปูฐานของความคาดหวังผิด ๆ ขึ้นในใจของประชาชน ความคาดหวังดังกล่าวจะเป็นตัว ขับเคลื่อนให้เกิดการเรียกร้องเอาของเปล่าจากรัฐต่อไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนรัฐบาลจะไม่ 5 กระบวนการล้มละลายของอาร์เจนตินาซึ่งเป็นต้นฉบับของการนานโยบายแนวประชานิยมอย่างเข้มข้นมาใช้ อาจหาอ่านได้ในหนังสือชื่อ ประชานิยม: หายนะจากอาร์เจนตินาถึงไทย (สานักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์, 2546)
  • 23. สามารถให้ได้เพราะค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่ารายได้เนื่องจากผู้สูงอายุจะมีสัดส่วนสูงขึ้น และเทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษาพยาบาลก็นับวันจะแพงขึ้น ในขณะนี้ประเทศที่มั่งคั่งก็ยังไม่ สามารถจะช่วยประชาชนให้เข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ตามที่ประชาชนต้องการทุกอย่างทั้งที่เก็บ ภาษีในอัตราสูงแล้ว ฉะนั้น รัฐบาลไทยจะต้องยอมรับความจริงข้อนี้และเริ่มชี้แจงให้ประชาชน เข้าใจพร้อมกับตั้งเพดานของการใช้จ่ายในด้านนี้ไว้ด้วย นอกจากค่าใช้จ่ายในโครงการประชานิยมแล้ว ด้านที่รัฐบาลควรพิจารณาตัดทอนได้ก่อน การศึกษาจะแล้วเสร็จได้แก่ค่าใช้จ่ายจาพวกโฆษณาผลงานของรัฐบาล การไปทัศนศึกษา โดยเฉพาะในต่างประเทศและการประชุมสัมมนาเวลาใกล้สิ้นปีงบประมาณซึ่งแต่ละอย่างอาจดูไม่ มากนักแต่มักเป็นการใช้เงินไม่คุ้มค่าและเมื่อรวมกันเข้าก็เป็นจานวนมาก นอกจากนั้นควร พิจารณาตัดค่าใช้จ่ายของกองทัพซึ่งมีนายทหารระดับนายพลล้นงานเพราะมีอยู่ในอัตราสูงกว่า กองทัพส่วนใหญ่ในโลก ในช่วงเวลาเร่งรัดพัฒนาประเทศ รัฐบาลเน้นการลงทุนในปัจจัยพื้นฐานเพื่อเอื้อให้ระบบ ตลาดเสรีทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเศรษฐกิจแนวใหม่ต้องใช้ระบบตลาดเสรี การ เน้นการลงทุนในแนวนี้จึงควรดาเนินต่อไป อย่างไรก็ตามเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดเศรษฐกิจแนวใหม่ ส่วนประกอบของการลงทุนในปัจจัยพื้นฐานควรได้รับการปรับเปลี่ยน มองอย่างกว้าง ๆ การลงทุน จากส่วนกลางควรเริ่มด้วยการปรับเปลี่ยนดังนี้คือ ด้านแรกได้แก่การขนส่งซึ่งรถไฟจะต้องได้รับ การปรับปรุงอย่างจริงจังทั้งในด้านการขนถ่ายสินค้าและในด้านการเดินทางของประชาชน ด้านที่ สองเกี่ยวกับการสร้างเมืองใหม่เพื่อผ่องถ่ายความแออัดออกจากกรุงเทพฯ แนวคิดนี้มีมานานแต่ รัฐบาลยังไม่ขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นอย่างจริงจัง ก่อนที่ภาวะโลกร้อนจะทาให้กรุงเทพฯ จมบาดาล และดึงงบประมาณลงทุนไปใช้ในกรุงเทพฯ ในสัดส่วนที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก รัฐบาลต้องมีความกล้า หาญที่จะไปสร้างเมืองบริวารของกรุงเทพฯ สักสองสามเมืองอย่างเร่งด่วน ด้านที่สามได้แก่การ สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาซึ่งจะต้องได้รับงบประมาณในสัดส่วนที่สูงกว่าในปัจจุบันมาก ๆ6 สาหรับในระดับท้องถิ่น แต่ละแห่งจาเป็นต้องใช้จ่ายให้ตรงกับความต้องการของท้องถิ่น ซึ่งแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามฐานของการพิจารณาไม่น่าจะต่างกันมากนัก นั่นคือ การใช้จ่ายที่ ควรได้รับความสาคัญอันดับต้น ๆ ได้แก่การลงทุนในปัจจัยพื้นฐานที่เสริมการลงทุนของส่วนกลาง เพื่อให้ตลาดเสรีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รองลงมาน่าจะเป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึง ปัจจัย 7 อย่างที่ช่วยสร้างความสุขกายสบายใจดังที่กล่าวถึงในบทที่ 2 ซึ่งอาจประกอบด้วยศูนย์ 6 ในขณะที่เมืองไทยใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศราว 0.3% เพื่อการวิจัยและพัฒนา เกาหลีใต้ใช้ใกล้ 3% [จากหนังสือเรื่อง สู่จุดจบ ! (สานักพิมพ์โอ้พระเจ้า, 2549) หน้า 101] ข้อมูลจากนิตยสาร The Economist ฉบับประจาวันที่ 3-9 มกราคา 2009 หน้า 47 บ่งว่าค่าใช้จ่ายสาหรับการวิจัยและพัฒนาเฉพาะของบริษัทในจีน ใกล้เคียงกับของบริษัทในสหภาพยุโรปซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ